ข่าวเอกสารจ้างล็อบบี้ยิสต์ ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดเรื่อง “กูเกิ้ล” ลากพาเอามิตรรักแฟนคลับของทั้งสองทีมมาปะทะคารมกันอย่างหนักหน่วงในพื้นที่ออนไลน์ จน “ข่าวดี” ของประเทศ เรื่อง “ทำเอ็มโอยูการค้า” กับอินเดีย ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ดังแผ่วอยู่ในวงความขัดแย้งนั้น แทนการอึกทึกครึกโครมด้วยความยินดีปรีดา
ในท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ในท่ามกลางถ้อยคำหยามหมิ่น ชิงชัง ที่สาดเข้าใส่กัน ในท่ามกลางการพยายามจะเอาชนะคะคานกันนั้น มีคนคนหนึ่งเลือกจะไม่ข้องเกี่ยวกับ “ขั้ว-ข้าง” ไม่ร่วมสร้างความชิงชังให้โหมกระพือเข้า “เผาลน” ฝ่ายไหนทั้งสิ้น แต่ก้มหน้าก้มตา “ทำงานหนัก” ไล่ตั้งแต่เร่งผลักดันนโยบาย “ประกันรายได้”เข้าสู่ที่ประชุม ครม. จนกลางเดือนตุลาคมนี้ จะสามารถจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่ปาล์ม ยาง ได้แล้ว ก่อนหน้านั้น ก็เร่งหามาตรการยกระดับราคาผลไม้ ทั้งมังคุดและลองกอง จนเกษตรกรหายใจได้คล่องขึ้น ด้วยการประสานความร่วมมือกันข้ามกระทรวง อันชี้ให้เห็นความเป็นผู้นำและมีวิสัยทัศน์ จากนั้นลงไปสำรวจและหาทางเพิ่มมูลค่าการซื้อขายให้แก่ “ตลาดชายแดน” เพิ่มพูนทักษะการตลาดออนไลน์ให้แก่เยาวชนภาคใต้ ยังไม่วายมีเวลาไปตรวจเยี่ยมประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในภาคอีสาน กินนอน ลุยน้ำ แจกถุงยังชีพ รับฟังปัญหา กินนอนอยู่ที่อีสานเป็นเวลาถึง 3 วันสามคืน และเร่งรัดให้ “ทูตพาณิชย์” ตระหนักในหน้าที่ “เซลส์แมน” เพื่อเพิ่มตลาด เพิ่มยอดการสั่งซื้อ เพื่อโอกาสที่ดีขึ้นของการนำรายได้เข้าประเทศ
มิใช่แค่กระตุ้นคนอื่นๆ ตัวนายจุรินทร์เองก็เป็น “หัวหน้าเซลส์แมน” โดยมี ดร.สรรเสริญ สมะลาภา ตามประกบเป็นเงาตามตัวในฐานะ “มือดี” ด้านเศรษฐกิจการค้าคนหนึ่ง ที่ไปไหนไปกัน จนเกิด 2 ผลงานที่ไม่ควรเงียบฉี่ นั่นคือ...
1) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2562 เวลา 15.00 น.ตามเวลาประเทศอินเดีย กระทรวงพาณิชย์ นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้บริหารระดับสูงและคณะผู้แทนการค้าภาคเอกชน เดินทางเยือนประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 24 - 28 กันยายน 2562
นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า สรุปเป้าหมายและยอดการซื้อขายจากกิจกรรมต่างๆ ในมุมไบ กับเจนไน (25 - 27 ก.ย.2562) ในรายละเอียดของการทำงาน จนสามารถทำข้อตกลง MOU ซื้อขายยางพาราด้วยยอดสั่งซื้อรวม 100,000 ตัน มูลค่า 7,500 ล้านบาท และไม้ยางพาราอีก 130 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ยางพารา 1,370 ล้านบาท จึงรวมยอดเฉพาะยางพาราขายได้รวม 9,000 ล้านบาท
นายจุรินทร์กล่าวว่า การเยือนครั้งนี้ ถือว่าเป็นที่พอใจ และเป็นสัญญาณที่ดีเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ และจากนี้จะกลับมาอีกครั้งเพื่อเปิดตลาดผลไม้ อาหาร เวชสำอาง โดยเชิญคณะวัสดุก่อสร้างผู้ประกอบการย่อยสลายพลาสติก และอสังหาริมทรัพย์ ของอินเดียไปเยือนไทยเพื่อพบเอกชนไทยในเดือน พ.ย.นี้ ด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมภารกิจ 3 วัน ในอินเดีย สามารถสร้างยอดขายรวมสินค้าอื่นด้วยเป็น 12,073 ล้านบาท
รายงานข่าวกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า สำหรับการสัมมนาที่เมืองเจนไน เรื่องโอกาสใหม่ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมยางระหว่างไทยและอินเดียเป็นเป้าหมายการเปิดตลาดยางพาราของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลนี้
2) ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 20-21 ก.ย.2562 ได้เดินทางเข้าร่วมงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (ไชน่า-อาเซียน เอ็กซ์โป) ครั้งที่ 16 และได้ใช้โอกาสนี้พบปะหารือกับนายหาน เจิ้ง รองนายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวและมันสำปะหลัง ที่จีนและไทยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซื้อขายระหว่างกันมาแล้ว แต่ยังมีการซื้อยังไม่ครบตามจำนวนใน MOU โดยข้าวมีการเซ็น MOU ซื้อขายไว้ 2 ล้านตัน มีการนำเข้าแล้ว 7 แสนตัน ได้ติดตามให้มีการนำเข้าในส่วนที่เหลือ 1.3 ล้านตัน ส่วนยางพาราเซ็น MOU ไว้ 2 แสนตัน นำเข้าได้เพียง 1.68 หมื่นตัน ได้เร่งรัดให้มีการนำเข้าในส่วนที่เหลือต่อไป
ส่วนการหารือกับนายหลู ซิน ฉี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มณฑลกวางซี ได้ชักชวนให้นักลงทุนจากกวางซีเข้าไปลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และหากสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมยางพารา เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา ได้แนะนำให้เข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมยาง ที่จ.สงขลา ที่อยู่ในภาคใต้ของไทย และยังได้หารือกับบริษัทผู้นำเข้ายางรายใหญ่ของจีน คือ ชิโน เคม กับบริษัท ฉงชิ่ง ฉางอาน เหมิงเชิง เพื่อที่จะเจรจาซื้อขายยางพารากันต่อไปในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของการเปิดตลาดผลไม้ ได้มีการลงนามใน MOU ขายผลไม้ไทยได้ประมาณ 100 ล้านบาท และยังได้กำหนดจัดเทศกาลผลไม้ไทย ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางซี ในช่วงเดือนต.ค.2562 โดยนายหลู ซินฉี พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับไทยในการจัดงาน เพราะผลไม้ไทยเป็นที่นิยมในตลาดจีนเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน จีนนำเข้าผลไม้ไทยมากเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลาด 23% รองลงมา คือ ชิลี 20% และเวียดนาม 10% โดยผลไม้ที่ได้รับความนิยม คือ ทุเรียน มังคุด ลำไย และมีมะพร้าวน้ำหอมเป็นผลไม้ดาวรุ่งตัวใหม่ โดยคาดว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกผลไม้ไทยไปยังจีนได้เพิ่มขึ้น และจากนั้น ในเดือนพ.ย.2562 ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าผลไม้จากทั่วโลก เดินทางมาพบปะกับผู้ส่งออกผลไม้ของไทย เพื่อผลักดันการส่งออก
สำหรับสินค้ามันสำปะหลัง ได้นำคณะภาคเอกชนไทยมาขยายตลาดด้วย โดยได้มีการลงนามใน MOU ซื้อขายมันสำปะหลังกับผู้นำเข้าของจีน 4 ราย ปริมาณรวม 2.68 ล้านตัน แยกเป็นมันเส้น 2.6 ล้านตัน และแป้งมัน 8 หมื่นตัน มูลค่ารวม 608 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 18,635 ล้านบาท โดยจะดำเนินการส่งมอบให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการหาตลาดล่วงหน้าให้กับเกษตรกรไทย และยังเป็นการฟื้นตลาดมันสำปะหลังในจีนให้กลับคืนมา
3) เรื่องเหล่านี้ ไม่ถูกทำให้อึกทึกครึกโครมเท่ากับ “ความขัดแย้ง” ทั้งหลาย ที่สื่อก็ให้ความสนใจ และคนก็พร้อมเสพ
เวลานี้จึงมีการ “โฟกัส” กันผิดจุด ว่า “จุดตาย” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อยู่ที่
3.1 ภาวะเสียงปริ่มน้ำ จนต้องไปเจรจาหา “งูเห่า” สำรองเอาไว้ และกลายเป็นข่าว ตั้งกินข้าว ดูด สส. เพื่อไทย และเถียงกันเรื่องมีคลิปหรือไม่มีคลิป ไหนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ บอกว่ามีคลิป แน่จริงเอามาเปิดสิ ฝ่ายคุณหญิงหน่อยก็บอกว่า “มี แต่ไม่เปิด”จะเก็บไว้เป็นหลักฐาน
3.2 การอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2563 ซึ่งจะเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ พิจารณาเรื่องนี้ในเดือนตุลาคมนี้คาดการณ์กันว่า หากฝ่ายค้านร่วมพลังต้านให้ดีๆ แล้วมีกรณี“ฝ่ายค้านอิสระ” งอกเพิ่มจากกลุ่มพรรคเล็กพรรคน้อยในฝ่ายรัฐบาล การล้ม พ.ร.บ.ฉบับนี้ แล้วมีผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก ก็อาจเกิดขึ้นได้
3.3 การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งฝ่ายค้านประกาศแล้วว่าใช้สิทธินี้แน่ ต้องเข้าใจนะครับว่า ภายในปีนี้ ฝ่ายค้านมีโควตาที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ 1 ครั้ง และฝ่ายค้านยุคนี้ เห็นทีจะไม่ปล่อยโอกาส “ลากไส้รัฐบาล” ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรแน่ๆ
แต่สำหรับผม ภาวะเสียงปริ่มน้ำแก้ไขง่ายมาก ทั้งด้วยสายสัมพันธ์และธนบัตร ต้องไม่ลืมนะครับว่า เสียงส่วนมากของฝ่ายค้าน คือ “คนคุ้นเคย” ของ คนครึ่งในหนึ่งพลังประชารัฐ นั่นคือ พวกเขาต่างก็เคยเป็นลูกน้องเก่าทักษิณหรือเคยร่วมงานกับทักษิณด้วยกันมา บ้างเป็น นปช. ด้วยกันมา การพูดคุยเจรจาย่อมมิได้ยากเย็น
จะไม่ทำเป็นโลกสวยละนะครับว่า การเงินไม่ใช้สตางค์ ใช่ครับ ข่าวว่า สส.บางพรรคนี่อู้ฟู่มาก มีโบนัสพิเศษจากพรรคให้ทุกเดือน ไม่ใช่แค่เงินเดือน สส. ขณะที่บางพรรค นายใหญ่แดนไกลไม่ค่อยจะดูดำดูดี ส่วนอีเจ้ที่มาเฝ้าพรรคอยู่นี้ ก็ดูแลแต่ทีมตัวเอง อดอยากปากแห้งกัน มันก็เจรจากับ “เพื่อนเก่า” ได้ ไม่เห็นยากเลย
ยิ่งเป็นเรื่องการผ่าน/ไม่ผ่าน งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งหาก ไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ” จะไปอธิบายกับประชาชนยังไง ว่าทำไมถึง “คว่ำ” พ.ร.บ.งบประมาณ
“ตี๋ใหญ่” กับ “ครูมานิตย์” ไม่ได้หรือครับ ที่มาต้อนรับบิ๊กตู่ตอนลงพื้นที่อีสานแล้วบอกว่า... “ยกมือให้นายกฯล้านเปอร์เซ็นต์ ขณะที่มีการลงชื่อขออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯผมยังบอกว่า ลงทำบ้าอะไร บ้าหรือเปล่า เขายังไม่ทำอะไร ไปลงชื่อกันแล้ว ไปดูได้เลยไม่มีชื่อผม” ยังรวมถึงว่า งบประมาณมันเป็นประโยชน์ของประชาชน จะไปคว่ำมันทำไม
การคว่ำ พ.ร.บ.งบประมาณ อย่างไม่มีเหตุสมควร แต่ทำเพื่อจะล้มรัฐบาลประยุทธ์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายที่จะทำ เพราะ สส. ทุกคนก็มีโอกาสในงบประมาณที่จัดสรรด้วย และจะไปอธิบายกับประชาชนอย่างไรกัน หากฝ่ายรัฐบาลฟ้องร้องต่อประชาชนว่า ที่งบประมาณไม่ผ่าน ยังทำงานไม่ได้ ยังช่วยเหลือแก้ปัญหาให้พี่น้องไม่ได้ เพราะฝ่ายค้านเอาแต่เล่นการเมือง จนลืมความทุกข์ยาก ลืมปัญหาของประชาชน แม้แต่กฎหมายงบประมาณ ยังพากเพียรที่จะคว่ำให้ได้เลย
สรุปว่า เสียงปริ่มน้ำนั้น ในทางการเมืองเขาแก้กันได้จะงูเห่า กิ้งกือ ไส้เดือน อะไรก็ว่ากันไปเถอะ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านแน่ๆ ก็มาถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากไม่มีประเด็นที่แหลมคมพอ ก็จะกลายเป็นความชินชาของประชาชนว่า ฝ่ายค้านมันก็แค่นี้แหละ จ้องแต่จะเล่นงานทางการเมือง แทนที่จะมาทำงานแก้ปัญหาของประชาชนกันก่อน ซึ่งการดึงมาสู่ประเด็นแบบนี้ต้องเกิดขึ้นแน่
ผมจึงห่วงเรื่องเดียว ว่า “เส้นชีวิต” ของรัฐบาลประยุทธ์ จะ “ขาดผึง” ทันที ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้
ปาล์ม ยาง ประมง และการท่องเที่ยวทางใต้คอยอยู่
เงินฝืดเคือง ค้าขายไม่คล่อง หนี้สินท่วมหัว การจ้างงานน้อย มีแต่ “เงินแจก-เงินคนจน” คงไม่พอแน่
อีสานกับพื้นที่ที่เพิ่งผ่านน้ำแล้ง-น้ำท่วม พอน้ำลด เจอสภาพบ้าน “ความอ่อนไหวทางอารมณ์” จะเกิดขึ้นอีกครั้ง และหนักกว่าตอนน้ำท่วมบ้านเสียอีก เพราะเห็นบ้านพังชัดๆ บ้านเละเทะไปด้วยโคลนตม เงินก็ไม่มี อาชีพก็ไม่ได้ทำ เพราะติดน้ำท่วม นาก็ล่ม ลูกก็ต้องไปโรงเรียน หากถูกซ้ำเติมด้วยความรู้สึกว่า “ไม่มีใครมาเหลียวแล”นั่นรวมไปถึงว่า มียุทธการทำให้รู้สึกเช่นนั้นควบคู่กันไปด้วย “เงาหัว” ของรัฐบาลก็จะค่อยๆ จางลงๆ
อย่าลืมว่าอีสานเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งทางการเมือง เป็นพื้นที่แย่งชิงมวลชนทางการเมือง เป็นพื้นที่ที่บางส่วนเคยผ่านหลักสูตร “โรงเรียน นปช.” ที่สร้าง “ภูมิทัศน์ทางการเมืองการปกครองบางแบบ”เอาไว้ในสมองของคนที่นั่นแล้ว ซ้ำเป็นที่ที่ “ฝ่ายแค้น”คงเตรียมการ “ชิงดีชิงเด่น” เอาไว้แล้ว หากฝ่ายรัฐบาลบริหารจัดการไม่ดีพอ อะไรๆ ที่จะเริ่มจากตรงนั้นแล้วขยายผลบานปลาย ก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เช่นกัน
หันมา “ระดมสมอง” เตรียมเข็นแผนงานและมาตรการทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง เป็นแสงแห่งความหวัง เป็นพลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธา มาให้คนเดินหนีจากความขัดแย้ง แล้วมาสร้างชาติด้วยกันดีกว่า ที่รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน เพิ่งไปมีกิจกรรมร่วมกับ “จิตอาสา” เหลืองอร่ามอย่างนั้น ดีแน่ เป็นบรรยากาศที่ดี และเป็น “สัญลักษณ์” ที่ดีด้วย
แผนกต่อปากต่อคำทางการเมือง เปิดเกมรุกเกมรับทางการเมือง ก็ให้เขาทำไป แต่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องผนึกกำลังกัน สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (ในพื้นที่โดยรวมของประเทศ) และ “ให้เครื่องมือ” กู้ชีวิตหลังผ่านพ้นอุทกภัย(ในพื้นที่ประสบภัย) ให้ชัดเจนที่สุด ให้มีความหวังที่สุด ให้เกิดพลังร่วมมากที่สุด
แล้วพลังแห่งความแตกแยกจะมลายทุเลาลง เพราะเอาเข้าจริง คนที่เอียนกับความขัดแย้งไปหมดทุกเรื่องนั้น ก็มีไม่น้อย
เอารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นตัวอย่างกันเถอะว่า การเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มาก็เพื่อการนี้แหละ เพื่อทำงาน เพื่อสร้างโอกาส มิใช่เพิ่มปัญหา ใช้ทุกๆ วันเวลาสร้างความยอมรับให้ได้ ว่าในหัวใจไม่มีอะไรเลย นอกจากนำพาบ้านเมืองและประชาชนข้ามพ้นปัญหา
มุ่งมั่นกับงานอย่างเดียว แบบที่รัฐมนตรีจุรินทร์ทำให้เห็นกันเถิดครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี