หลังมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางกรณี ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวทีสัญจรภาคใต้ ที่จังหวัดปัตตานี ของ 7 พรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 28 กันยายน โดยระบุถึงรัฐเดี่ยว และการแก้ไขรธน.มาตรา 1 ด้วยนั้น
ปรากฏว่าเรื่องนี้กำลังลุกลามบานปลาย และเริ่ม “วัดกำลัง” กัน ของฝ่ายรัฐและฝ่ายต่อต้าน ราวกับเป็นอีกหนึ่ง “สงครามตัวแทน” ของฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายสืบทอดอำนาจ ตามที่เรียกๆ กัน เพื่อ “แบ่งแยก” มวลชน ขึ้นมาทำสงคราม ทั้งสงครามความคิดและสงครามประชาธิปไตย
โดยส่วนตัว ผมคิดว่า เราต้องไป “ตั้งหลัก” เรื่องนี้ ที่ “เนื้อหา”ที่ “เจตนา” และที่ “ท่าที” ในการนำเสนอของ ดร.ชลิตา เสียก่อน จากนั้นดู “การเคลื่อน” เพื่อตอบโต้กันของสองฝ่าย เราจะเห็นว่า ต่างก็เอา “อำนาจ” และ “ตำแหน่ง” ของตน เข้าต่อสู้กันในเรื่องนี้ มากกว่าร่วมกันหา “ข้อยุติ” และสร้างความเข้าใจให้บังเกิด
1) หากไปดูคลิปหรือการถอดเทปแบบคำต่อคำ จะพบว่า ดร.ชลิตา กล่าวด้วยท่าทีของ “นักวิชาการ” เสนอ “ความเห็น” โดยไม่ได้มีทีท่า “ปลุกระดม” อะไร พูดถึงภาพรวมของการแก้ไขปัญหาและตัวปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนจะมาปิดท้ายว่า
“สรุปสุดท้าย ดิฉันเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไข รธน.ใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ในบริบทของ จังหวัดชายแดนภาคใต้คิดว่าเราสามารถใช้เวทีรัฐธรรมนูญมาถกเถียงถึงใจกลางของปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบ ที่ผ่านมามีงานวิชาการหลายชิ้นที่บอกว่าปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จริงแล้วเป็นหาเรื่องอำนาจอธิปไตยของรัฐไทยในแบบปัจจุบัน ที่ไม่สามารถเผชิญกับความแตกต่างทางศาสนาและชาติพันธุ์ได้ ฉะนั้นเราต้องการรัฐที่มีความแยกย่อย ยืดหยุ่น มีการใช้อำนาจอธิปไตยที่จะโอบรับความแตกต่างหลากหลายได้ สามารถจินตนาการถึงการเมืองประเภทต่างๆ ได้ เช่น ประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องมีรัฐเดี่ยวหรือแบบรวมศูนย์ ดิฉันหวังว่าในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ เราจะมีพื้นที่ที่จะสามารถอภิปรายเรื่องนี้ได้ เราจะต้องทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราจะถกเถียงกันในมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญที่เราจะแก้ไข (ปัญหาชายแดนใต้) ได้โดยตรง ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตราที่ 1 ด้วยก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรขอบคุณค่ะ”
เมื่อเทียบกับช่อ พรรณิการ์ วานิช ที่บอกว่า รัฐธรรมนูญเฮงซวยทุกมาตราแล้ว คำพูดและข้อเสนอของ ดร.ชลิตา ธรรมดามากๆ ในอันที่จะชักชวนทุกคนมา “ถกเถียง” กัน ถึงมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ นั่นรวมถึงมาตรา 1 ด้วย โดยที่ ดร.ชลิตา ไม่ได้บอกเลยว่า มาตรา 1 นี้ ดีหรือเลวอย่างไร เพียงแต่คิดเอาไว้ว่า เวทีแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจเป็นโอกาสนำมาซึ่งการถกเถียง
2) ต้องเข้าใจว่า มาตรา 1 เป็นมาตราที่มี “ความอ่อนไหว” อยู่ในตัวเอง เพราะเนื้อความของมาตรานี้คือ “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
ผมอยากได้ยินอาจารย์ชลิตาอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่จะแก้ ม.1 นี้จะแก้ตรง “ราชอาณาจักร” หรือตรง “อันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” อาจารย์ต้องพูดให้ชัด เพราะการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้ได้โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกความเป็นราชอาณาจักร แก้ไขความเป็นหนึ่งเดียว หรือยกเลิกเงื่อนไข “แบ่งแยกมิได้” เพราะเราสามารถทำในลักษณะเขตปกครองพิเศษ เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรืออะไรก็ตามภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่นำไปสู่การให้พื้นที่แก่ความแตกต่างหลากหลาย มีตัวตน มีความต่าง มีความเป็นธรรม ปลอดพ้นจากการใช้กำลังและอำนาจควบคุม-คุกคาม โดยไม่ต้องแก้มาตรา 1 สรุป อาจารย์จะแก้ไขประเด็นใดในมาตรา 1 นี้ เป็นเรื่องที่ควรจะกล่าวเสียให้สมบูรณ์ในเวลานี้
3) มีรายงานข่าวแจ้งว่า ฝ่ายความมั่นคงมองว่าคำพูดดังกล่าวถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบภายในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินได้ ส่วนที่ต้องดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่ในเวทีเสวนาทั้งหมดนั้น เพราะถือว่าทุกคนเป็นผู้ร่วมกันกระทำความผิด และทุกคนสมัครใจมีส่วนร่วมในการจัดการเสวนาครั้งนี้ อีกทั้งพื้นที่จัดงานเสวนาก็เป็นพื้นที่ที่ยังคงประกาศใช้กฎหมายพิเศษอยู่ ซึ่งมีความเปราะบางต่อสถานการณ์เป็นอย่างมาก
4) ลำพังการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ หรือกระทั่งด่าทอกันไปกันมาของกองเชียร์ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์แล้ว เรื่องมันเริ่ม“ล้ำ” ไปอีกขั้น เมื่อพล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และผู้ชำนาญการสำนักงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) ได้รับมอบอำนาจจากพล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับบุคคล รวม 12 คน
ประกอบด้วย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อายุ 78 ปี หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อายุ 40 ปี หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พล.ท.ภารดร พัฒนถาบุตร อายุ 64 ปี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นางชลิตา บัณฑุวงศ์ อายุ 47 ปี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายสมพงษ์ สระกวี อายุ 69 ปี นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อายุ 75 ปี หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ นายมุข สุไลมาน อายุ 70 ปี นายนิคม บุญวิเศษ อายุ 49 ปี หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย นายรักชาติ สุวรรณ อายุ 55 ปี นายอสมา มังกรชัย อายุ 45 ปี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อายุ 75 ปีหัวหน้าพรรคประชาชาติ และนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ อายุ 48 ปี
โดยทั้ง 12 คน ได้จัดเสวนา “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่บริเวณลานวัฒนธรรม หน้าศาลากลาง จ.ปัตตานี โดยทางเจ้าหน้าที่กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้เข้าไปตรวจสอบพบว่าการจัดเวทีเสวนาดังกล่าวของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวทีเสวนา โดยมีประชาชนร่วมรับฟังประมาณ 150 คน ซึ่งการจัดเสวนาดังกล่าว ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อออนไลน์เฟซบุ๊คพรรคประชาชาติ และมีการอัพโหลดการจัดเสวนาดังกล่าวลงในช่องยูทูบ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไปรับรู้รับทราบ รับชมรับฟังลักษณะการจัดเวทีเสวนาดังกล่าว
กลุ่มผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ได้มีการพูดนำเสนอข้อมูลในลักษณะมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไป
หลงเชื่อ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องต่อประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบภายใน
5) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมายของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งคงได้พิจารณาอยู่แล้ว แต่ตนยังไม่ได้เห็นเรื่องทั้งหมด จึงไม่สามารถพูดได้ว่ารัฐบาลจะทำอะไร
เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะบานปลายไปเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็แล้วเขาทำผิดหรือเปล่า ก็ต้องไปดูข้อกฎหมาย ซึ่งกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เขาก็ดูข้อกฎหมาย และต้องดูที่คำพูดของเขา ซึ่งจะเดินทางไปไหนก็ไป ไปพูดที่ไหน ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ต้องดูที่คำพูด เพราะเขาพูดว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ และไม่มีเรื่องความขัดแย้งรอบใหม่”
เมื่อถามย้ำว่า แต่ในเวทีเสวนาดังกล่าว ข้อเสนอเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 เป็นเพียงความเห็นเดียวของนักวิชาการ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็ในเมื่อนั่งอยู่ด้วยกัน ก็ต้องคัดค้านกัน” ส่วนจะถือเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันใช่หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ต้องถามนักกฎหมายดู
6) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า การไปเปิดเวทีพบประชาชนถือเป็นเรื่องทั่วไป และเราดำเนินการมาแล้วในภาคต่างๆ เวทีที่ปัตตานีเป็นเวทีที่ 4 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรายืนยันมาโดยตลอดว่าจะไม่แตะต้องหมวดที่ 1 ซึ่งเรื่องทั่วไป และหมวดที่ 2 ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และที่เขาแจ้งความดำเนินคดีก็ว่ากันไปเราพร้อมชี้แจง แต่ถ้าดำเนินการไม่ถูกต้องไม่ชัดเจน ทำให้เราเสียหาย เราก็จะฟ้องกลับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด วันนี้เข้าสู่การเมืองในระบบประชาธิปไตยแล้ว คนใช้อำนาจจะทำแบบเดิมเหมือนตอนรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเช่นเดิมไม่ได้อีกแล้ว
7) นายอดิศร เพียงเกษ ในฐานะโฆษกผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า การเสวนาของ 7 พรรคฝ่ายค้าน ไม่ได้แตะต้องหมวดที่ 1 และที่ 2 เลย มีแต่เพียงต้องการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพอันจะพึงมีพึงได้ โดยนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาเป็นแบบอย่างในการที่จะแก้ไข และไม่เคยมีการกระด้างกระเดื่องยุยงปลุกปั่น รวมถึงการเคลื่อนไหวที่จะแก้รัฐธรรมนูญก็อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่ จ.เชียงใหม่ มหาสารคาม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และปัตตานี เพื่อไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีข้อบกพร่องควรจะแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
ดังนั้นในฐานะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน. จึงอยากให้ระงับยับยั้ง อย่าให้มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เพราะปัจจุบันมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยสาเหตุเหล่านี้ จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฝ่ายค้านจะเอาไปอภิปรายในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.
งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2563 ในส่วนงบประมาณของ กอ.รมน. และนําไปสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งจะมีขึ้นอย่างแน่นอนในเดือน ธ.ค. นี้ ทั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านมีความเป็นห่วงว่าสถานการณ์การเมืองในระบอบประชาธิปไตย กำลังเดินทางไปสู่สภาพปกติ จึงไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวางอีก
ส่วนกรณีที่นักวิชาการได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน หมวดที่ 1 ซึ่งเป็นการพูดบนเวทีของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น เป็นความเห็นส่วนตัว เพราะนักวิชาการเขาเป็นคนสอนหนังสือ ดังนั้น ต้องเปิดเวทีให้นักวิชาการได้มีโอกาส อย่าให้ประเทศนี้มืดมน อย่าให้เป็นประเทศที่เขาบอกว่าเป็นกะลาแลนด์เลย
8) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษโดยกอ.รมน. ซึ่งนายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ดังนั้นเท่ากับว่านายกฯ เป็นผู้สั่งการให้มีการดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งการแสดงความเห็นตามสิทธิเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ การใช้กฎหมายและยังเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้วย วันนี้ที่เรารณรงค์กันก็เพื่อต้องการหลอมรวมสติปัญญาของประชาชน เพราะความมั่นคงของประชาชน คือความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม การที่กอ.รมน.มาฟ้องร้องเช่นนี้ ตัวผู้แจ้งความ และนายกฯ กำลังจะบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในฐานะผู้ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค และนักวิชาการ เราจำเป็นต้องฟังความเห็นจากประชาชนทุกคน เป็นการกระทำที่ต้องการข่มขู่ทางวิชาการ ข่มขู่ประชาชน ไม่ให้มีความมีความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งแบบนี้เป็นอันตรายต่อประเทศ ดังนั้น 1.ผู้ถูกกล่าวหาจะต่อสู้ทางกฎหมายหากมีการเรียกไปสอบสวน และ 2.เรามองว่าการแจ้งความเป็นการแจ้งความเท็จในหลายประเด็น เพื่อข่มขู่ ไม่ให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนา และข่มขู่ไม่ให้มีการแสดงความเห็น ซึ่งเราจะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้แจ้งความเท็จ ทั้งคนแจ้งความและผู้มีอำนาจ และจะดูต่อไปว่าจะโยงไปถึงตัวนายกฯ ได้ด้วยหรือไม่
9) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านยืนยันมาตลอดว่าการรณรงค์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนมาตลอดว่าไม่แก้ในมาตรา 1 และมาตรา 2 ซึ่งเป็นข้อห้ามในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นแก้ไม่ได้อยู่แล้ว การพยายามสร้างกระแสให้เกิดความปั่นป่วนในสังคมถือเป็นปฏิบัติการด้านการข่าวที่รัฐพยายามสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง อยากให้มีหน่วยงานไหนแจ้งความเอาผิดรัฐในการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน เพราะหากแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ แผนยึดอำนาจประเทศไทย 20 ปีจะเสียของ ดังนั้น คณะผู้ยึดอำนาจจึงยอมไม่ได้
10) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า การฟ้องนี้พอตนเห็นชื่อของ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ เป็นคนแจ้งความพร้อมข้อหาเดิม อย่าง ม.116 ก็คิดได้ทันทีว่าเรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ทั้งที่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นายทหารคนนี้ก็ใช้ช่องทางตามกฎหมายต่างๆ เพื่อไปแจ้งความคนเห็นต่าง ฐานยุยงปลุกปั่น ตามม.116 บ้าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์บ้าง สุดท้ายบางเรื่องอัยการก็ไม่สั่งฟ้อง หรือ ศาลสั่งยกฟ้อง แต่ตัว พล.ต.บุรินทร์ ยังคงทำแบบนี้อยู่ต่อไป ซึ่งเป็นกลไกล anti-slap หรือวิธีการใช้วิธีการดำเนินคดีเพื่อปิดปากคนเห็นต่าง ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
“ผมในฐานะ ประธานกมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ตอนนี้มีคนหลายคนทำหนังสือร้องเรียนเข้ามา เกี่ยวกับกรณีที่นายทหารของคสช.เที่ยวไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลจำนวนมาก จนพวกเขาเสียเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และทำให้เสียเวลาในการขึ้นศาล หากเรื่องนี้บรรจุเข้าระเบียบวาระ คงต้องมีการเรียก พล.ต.บุรินทร์มาให้การต่อ กมธ.ชุดนี้ ว่าท่านอ่านกฎหมายอย่างไร ดูองค์ประกอบความผิด ตามม.116 อย่างไร ทำไมถึงเที่ยวไปแจ้งความเต็มไปหมด สุดท้ายทั้งอัยการก็ไม่ฟ้อง ศาลก็ยกฟ้อง แต่ตัวท่านกลับได้ดิบได้ดีขึ้นเป็นพล.ต. จนถึงวันนี้”
เมื่อถามว่า เรื่องนี้เป็นการปิดกั้นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่นายปิยบุตรกล่าวว่า มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการได้แก่ 1.ต้องการกลบเกลื่อนช่วงขาลงของรัฐบาลชุดนี้ บังเอิญขาลงมันมาเร็วผิดปกติ 2.กลบประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ
“ปัญหาคือเราเป็นพรรคฝ่ายค้าน เมื่อถูกร้องทุกข์กล่าวโทษก็ว่าไปตามกระบวนการ แต่เราเองยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากสภาเปิดเราก็อยากถามไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรในการดำเนินการเรื่องนี้ กฎหมายเป็นเครื่องสำคัญในการประกันสิทธิเสรีภาพของราษฎร และจำกัดอำนาจรัฐ ต้องไม่ใช่เครื่องมือของผู้มีอำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของบุคคล” นายปิยบุตร กล่าว
11) นพ.ระวี มาศฉมาดล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับนายปิยบุตร ที่จะใช้อำนาจกรรมาธิการฯแทรกแซงการดำเนินการตามกฎหมาย เพราะพล.ต.บุรินทร์ ยื่นกล่าวโทษดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ซึ่งปกติตนชื่นชมนายปิยบุตรว่าเป็น สส.ที่มีคุณภาพ แต่ประเด็นนี้นายปิยบุตรควรทบทวนให้ดีก่อน เพราะเชื่อว่ากรรมาธิการหลายคนน่าจะไม่เห็นด้วย
เมื่อประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด เป็นเรื่องน่าเศร้าว่าต่างฝ่ายต่าง “ยอมกันไม่ได้” มุ่งเอาชนะกันแทนการหา “ข้อยุติ” ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญและเรื่องการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์จากทั้งสองเรื่อง โดยใช้ “ตำแหน่งทางการเมือง” เป็นอาวุธต่อสู้กัน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี