มีบทพระราชนิพนธ์สำคัญในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวบทหนึ่งเตือนสติผู้คนทั้งปวงว่า “เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน” ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับโลกนิติ ธรรมนิติ และราชนิติทั้งปวง
และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เมื่อจะขึ้นครองราชย์ก็จะทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการไปในทิศทางเดียวกันคือ การครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ที่ว่าครองแผ่นดินโดยธรรมนั้นคือการเคารพนับถือธรรมเป็นใหญ่การปฏิบัติธรรม และการบริหารบ้านเมืองโดยธรรม มีเป้าหมายที่สุดคือประโยชน์สุขแห่งมหาชน ไม่ใช่เพื่อคนบางคน หรือเพื่อกลุ่มคนคณะใดคณะหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักค้ำจุนบ้านเมืองให้ดำรงคงอยู่ มีความมั่นคงสถาพรและมีความอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมาจนถึงบัดนี้
ในการปกครองของประเทศไทยนั้นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่สามารถสร้างสรรค์ธรรมรัฐและเป็นระบอบการปกครองที่สามารถรองรับความเป็นนิติรัฐที่มีนิติธรรมเป็นเสาหลักค้ำจุน
แต่ทว่าการปกครองของประเทศไทยของเรา แม้เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 มาถึงวันนี้วันเวลาผ่านไปช้านานแล้วแต่บ้านเมืองของเราก็ยังไปไม่ถึงความเป็นธรรมรัฐ ยังไม่มีความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งและเกิดวิกฤติขึ้นในบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ในการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 จึงได้ปรากฏข้อความสำคัญอย่างยิ่งในบทพระราชปรารภ ซึ่งบทพระราชปรารภนี้โดยความหมายทั้งพยัญชนะและอรรถะก็เข้าใจได้ตรงกันว่าเป็นพระราชปรารภของพระมหากษัตริย์ที่ทรงปรารภถึงการแผ่นดินทั้งปวง ซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนนั่นเอง
ในบทพระราชปรารภแห่งรัฐธรรมนูญได้ปรารภถึงเหตุวิกฤติของบ้านเมืองที่ต่อเนื่องยาวนาน อันถือได้ว่าได้แสดงไว้ซึ่งทุกข์อริยสัจของแผ่นดิน และในบทพระราชปรารภดังกล่าวนี้ก็ได้แสดงสาเหตุของวิกฤติของบ้านเมืองซึ่งก็คือสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์ของบ้านเมืองนั่นเอง
สาเหตุวิกฤติของบ้านเมืองได้ตราไว้ในบทพระราชปรารภว่าเกิดจากเหตุสี่ประการ คือ การทุจริตหนึ่ง การฉ้อฉลหนึ่ง การบิดเบือนการใช้อำนาจหนึ่ง และการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎรอีกหนึ่ง
ไม่ว่ารัฐบาลหรือใครก็ตามที่ทุจริต หรือฉ้อฉล หรือบิดเบือนการใช้อำนาจ ก็คือผู้ก่อเหตุให้เกิดวิกฤติในบ้านเมืองทั้งนั้น
ส่วนบทพระราชปรารภที่ว่าการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎรย่อมมีความหมายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งในด้านนิติบัญญัติ ด้านบริหาร และด้านตุลาการโดยตรง เพราะเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมาย ในการกำกับควบคุมรัฐบาล ในการบริหารราชการแผ่นดิน และในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะคือการพิจารณาพิพากษาคดีให้เกิดความยุติธรรมตามกฎหมาย
แต่จนกระทั่งถึงวันนี้วิกฤติในบ้านเมืองนอกจากจะไม่สร่างซาสลายหายไปแล้ว กลับขยายตัวลุกลามและยังซ้ำเติมตามมาด้วยความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติ ที่ใช้พลังอำนาจของฝ่ายตนในการก่อตั้งกิจกรรมมากหลายเพื่อช่วงชิงมวลชน
เกิดการปะทะกันระหว่างกระแสแห่งความก้าวหน้าและกระแสอนุรักษ์ จนความแตกแยกแตกสามัคคียกระดับขึ้นจนก่อเค้าว่าอาจจะเกิดความรุนแรงเช่นเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา อีกก็ได้
เมื่อความแตกแยกแตกสามัคคียกระดับรุนแรงกว้างขวางขึ้นอย่างนี้ระบบความคิดและการปฏิบัติการเพื่อเอาชนะคะคานกันก็ยกระดับตามขึ้นไปด้วย จากความขัดแย้งในเรื่องการเมืองที่ช่วงชิงกันเป็นรัฐบาลก็กลายเป็นความขัดแย้งที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติอย่างรุนแรงที่สุด
การใช้พลังอำนาจขยายวงอย่างกว้างขวางยิ่งกว่ายุคใดๆ จนทำให้เค้าลางความขัดแย้งระหว่างทหารกับประชาชนถูกยกขึ้นสู่กระแสหลักอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่พลังอำนาจเหล่านี้เป็นพลังอำนาจแห่งชาติ ที่มีคติดำเนินว่าเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
การใช้พลังอำนาจในท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงแห่งวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นนี้ขยายตัวไปทั่วทุกวงการ แม้กระทั่งในกระบวนการยุติธรรม กระทบต่อสถานะแห่งชาติว่าดำรงคงธรรมไว้ได้ หรือว่าถึงขั้นไร้ธรรมอำไพไปแล้ว
การที่บุคลากรในวงการยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ หรือองค์กรอิสระอื่นที่มีลักษณะเดียวกันได้แสดงออกตอบโต้ให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในวงการของบุคลากรดังกล่าวถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือถูกพวกกันเองฆ่าตาย ย่อมเป็นสาเหตุหลักของความไร้ธรรมอำไพในบ้านเมือง
เพราะถ้าบุคลากรในวงการยุติธรรมไม่ว่าต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำไม่ได้รับความยุติธรรมหรือไม่มีความยุติธรรมเสียเองแล้ว ที่ไหนเลยจะรักษาธรรม ปฏิบัติธรรม และใช้อำนาจหน้าที่ให้เป็นไปโดยธรรมได้
ดังนั้นเสียงร้องระงมของอาณาประชาราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากความไม่เป็นธรรม จากการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรม ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงกึกก้องทั้งแผ่นดิน เพราะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจหน้าที่นั้น
และในที่สุดทั้งกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทุกข์เข็ญใดๆ ของราษฎรได้ ดังนั้นต่างคนต่างกลุ่มก็เคลื่อนไหวเรียกร้องให้แก้ไขความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของกลุ่มตนโดยทั่วไป
ปรากฏการณ์ของการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กลุ่มย่อยกลุ่มกลาง ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถึงปัจจุบันนี้ล้วนแสดงออกถึงความเดือดร้อนทุกข์เข็ญที่ได้รับจากการกระทำของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และไม่มีทางใดที่จะแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนเหล่านั้นได้
จึงต้องแสดงออกโดยการชุมนุม ซึ่งถึงแม้จะมีกฎหมายห้ามและบัญญัติโทษอาญาไว้ด้วย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญนำพาชีวิตข้ามพ้นจากขีดแห่งความกลัวแล้วจึงเกิดปรากฏการณ์ชุมนุมเรียกร้องขึ้น
อาการชุมนุมเรียกร้องเป็นหย่อมๆ นั่นคือปรากฏการณ์ของความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎรที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือไม่รู้จะพึ่งพาผู้ใด จึงต้องเสี่ยงภัยเสี่ยงโทษเคลื่อนไหวเรียกร้อง ซึ่งอย่าคิดว่าเป็นเรื่องสนุก เพราะนอกจากความเสี่ยงความรับผิดต่างๆ แล้วยังมีความลำบาก มีความเดือดร้อน มีความเสียหายเพิ่มขึ้นไปอีก
จากการพลัดที่นาคาที่อยู่ จากการที่ไม่สามารถประกอบอาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้มาเลี้ยงชีพได้ สภาพเช่นนี้เป็นสภาพที่ควรเข้าใจและให้ความเห็นอกเห็นใจ แต่ไฉนเล่าที่ผ่านมาจึงใช้แต่กลวิธีขอไปที หรือใช้กโลบายถ่วงเวลาจนผู้เดือดร้อนทุกข์เข็ญมีอันเป็นไปเสียเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอนาถของบ้านเมืองอย่างยิ่ง
กรณีท่านผู้พิพากษาหัวหน้าคณะของศาลจังหวัดยะลาพยายามฆ่าตัวตาย โดยได้ทำคำแถลงการณ์ถึงสาเหตุแห่งการตัดสินใจฆ่าตัวตายไว้อย่างชัดเจน สรุปก็คือมีการแทรกแซงการใช้อำนาจตุลาการ
ที่น่าสังเกตก็คือข้อกล่าวหาที่ว่าองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ได้ลงมติตัดสินยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยทั้ง 5 คนไป แต่มีข้อกล่าวหาว่ามีการแทรกแซงอำนาจตุลาการ มีคำสั่งลับให้ประหารชีวิตจำเลย 3 คนให้จำคุกจำเลยอีก 2 คน ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ใจความของเรื่องที่จะต้องไม่มีการบิดเบือนให้เป็นประเด็นขัดแย้งทางการเมืองดังที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้โดยเด็ดขาด
กรณีดังกล่าวนี้จึงเป็นปัญหาว่าข้อความในแถลงการณ์นั้นเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าเป็นความจริงก็ต้องมีผู้รับผิดตามกฎหมาย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขต้นเหตุอันก่อให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้อย่างเด็ดเดี่ยว
มีแต่คนที่ความคิดไม่เป็นไปโดยปกติเท่านั้นที่จะคิดและเข้าใจเอาเองว่าการที่คนระดับผู้พิพากษาหัวหน้าคณะตัดสินใจฆ่าตัวตายและออกแถลงการณ์ประกอบคำพิพากษาไว้ในสำนวนเช่นนี้เป็นแค่การจัดฉากหรือเป็นการเล่นการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี