วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
อดีตพระพุทธะอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ รับโทษตามคำพิพากษาศาลอาญา คดีหมายเลขดำ อ.2499/61 จากเหตุการณ์ในช่วงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 ถึง 1 พฤษภาคม 2557
คดีดังกล่าว ศาลชี้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น พิพากษาจำคุก 3 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน หลังเข้าไปรับโทษอยู่ในเรือนจำ ก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว
ล่าสุด อดีตพระพุทธะอิสระจะเข้าพิธีบวชอีกครั้ง
1. ช่วงที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ เจ้าหน้าที่เรือนจำได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า อดีตพระพุทธะอิสระได้ถอดจีวร ปลดผ้าเหลือง นุ่งขาวห่มขาวอยู่ในเรือนจำ ถือศีล สวดมนต์เช้า ครองตนเสมือนตอนเป็นพระ
2. อดีตพระพุทธะอิสระจะบวชใหม่ได้หรือไม่?
ตามพระธรรมวินัย ผู้ที่ถูกห้ามบวชพระ มีลักษณะต้องห้าม 3 ประการ
(1) มีเพศและสถานะบกพร่อง
(2) เคยทำอนันตริยกรรม ได้แก่ ฆ่าพ่อ,ฆ่าแม่,ฆ่าพระอรหันต์, ทำสงฆ์ให้แตกจากกัน ฯลฯ
(3) เคยต้องอาบัติปาราชิก เคยปลอมบวช เป็นต้น
คดีที่ศาลตัดสินนั้น ไม่ปรากฏว่า มีข้อใดทำให้สถานะของอดีตพระพุทธะอิสระต้องห้ามบวช
3. ล่าสุด ในแฟนเพจ Issaradham ได้แจ้งข่าวจากอดีตพระพุทธะอิสระในประเด็นเดียวกับการบวชใหม่ว่า
“...สิ้นเดือนตุลาคมนี้ ก็สิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติ ในคำพิพากษาคดีทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะชุมนุม
ด้วยเพราะเวลาเจ้าหน้าที่กองปราบฯมาจับ แล้วส่งฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่กองปราบฯได้นิมนต์หลวงพ่อ เจ้าคณะเขต เจ้าอาวาสวัดเสมียนนารี และเลขาฯ มาทำหน้าที่สึก
พุทธะอิสระ ได้กราบเรียนหลวงพ่อผู้คุ้นเคยกันไปว่า กระผมมิได้ละเมิดต่ออาบัติร้ายแรงจนทำให้ขาดจากความเป็นพระ ผมจึงไม่ยินดีกล่าวคำลาสิกขา
ครั้นออกจากคุกมาแล้ว จึงตั้งใจว่า จักกลับมาห่มผ้าจีวรอีก พอดีมหาเถรสมาคม ออกกฎขึ้นมาใหม่ว่า ภิกษุผู้ต้องโทษอยู่ในขณะคุมความประพฤติ ของทางราชการ ห้ามกลับเข้ามาบวชอีก จนกว่าจักหมดเวลาคุมความประพฤติ (ตามหมวด ๓ ว่าด้วยหน้าที่พระอุปัชฌาย์ กฎ มส.๑๗)
ซึ่งกรณีของพุทธะอิสระ จักสิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติลงในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒
เหตุนี้จึงกำหนดเวลากลับไปห่มผ้าไตรจีวร ในวันที่ ๕ ธันวาคม เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พ่อหลวง ร.๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง ก็ไม่คิดว่าการกลับไปนุ่งห่มผ้าเหลืองครั้งนี้ จักเป็นจุดสนใจของใครๆ มากขนาดนี้
ขอถือโอกาสให้ความรู้ ตามหลักพระธรรมวินัยเสียเลยว่า การที่ภิกษุจักพ้นจากความเป็นภิกษุได้นั้น มีเหตุอยู่ ๓ ประการ คือ ๑. มรณภาพ (ตาย) ๒. ต้องอาบัติปาราชิก เรียกว่า อาบัติร้ายแรงชั่วหยาบ ไม่สามารถกลับเข้ามาเป็นพระได้อีกตลอดชีวิต เช่น ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีอยู่จริง และเสพเมถุน ๓. กล่าวคำลาสิกขา
หลักการดังกล่าวมานี้ซึ่งก็ตรงกับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ ๖๗๘๒/๒๕๔๓ ย่อความสั้นๆ ให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจง่ายว่า ภิกษุรูปหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจ
จับข้อหาเสพสารเสพติด และถูกบังคับให้กล่าวคำลาสิกขา แต่ภิกษุนั้นมิได้ยินยอม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปโรงพัก และบังคับให้ถอดจีวรพร้อมนำตัวไปคุมขัง เพื่อส่งฟ้องต่อศาล เวลาต่อมาภิกษุรูปนั้นได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จึงกลับไปห่มผ้าเหลืองอีก เจ้าหน้าที่และอัยการ จึงนำตัวภิกษุนั้นไปฟ้องต่อศาลข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ภิกษุนั้นต่อสู้คดี จนถึงศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำวินิจฉัย ออกมาโดยสรุปได้ว่า (จากพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยย่อมเข้าใจได้ว่า จำเลยยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ เนื่องจากจำเลยไม่สมัครใจลาสิกขา และการดำเนินการให้จำเลยสละสมณเพศโดยพลการ ของเจ้าหน้าที่ พนักงานตำรวจ จำเลยจึงไม่เจตนากระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทย์จึงฟังไม่ขึ้น)
.jpg)
อีกทั้งมีกรณีพระพิมลธรรมแห่งวัดมหาธาตุ ถูกจับคุมขัง ข้อหา “มีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ และทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นเวลา ๔ ปี” ท่านก็มิได้กล่าวคำลาสิกขา พอท่านพ้นโทษออกมา ท่านก็แสดงความปาริสุทธิในศีลต่อหน้าคณะสงฆ์แล้วกลับเข้าไปห่มผ้าเหลือง จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ก่อนที่สมเด็จญาณสังวร จักได้รับการสถาปนาให้ได้เป็นพระสังฆราชต่อมา
แล้วมีผู้สงสัยว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถบังคับจับภิกษุผู้ต้องคดีสึกจากความเป็นภิกษุได้เช่นนี้ และเมื่อภิกษุบางรูป ต้องสงสัยว่า ทำผิดกฎหมาย
จักให้ปฏิบัติเช่นไร
อธิบายว่า มีพระอรรถกถาจารย์ได้กำหนดหลักปฏิบัติเอาไว้ว่า ให้ใช้วิธี“กายประโยค” เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับภิกษุผู้ถูกกล่าวหา จำคุกได้ขณะที่ห่มจีวรเพราะท่านไม่ปรารถนาจะสึก ให้เจ้าหน้าที่ทำการเปลื้องจีวร ออกจากตัวของภิกษุผู้ถูกกล่าวหารูปนั้นเสีย แล้วให้นุ่งห่มผ้าขาว อย่างคฤหัสถ์ผู้รักษาศีล โดยมิต้องกล่าวคำลาสิกขา เช่นนี้เรียกว่า “กายประโยค” เพื่อจักปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง
ด้วยหลักการและเหตุผล ดังกล่าวมานี้แหละ พุทธะอิสระจึงมีศักดิ์ และสิทธิ์อันชอบธรรมที่จักกลับมาห่มผ้าไตรจีวรได้อีกในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๒
อีกทั้งแม่ที่ป่วยติดเตียงก็อายุท่านก็มากแล้ว ท่านอยากเห็นพระลูกชาย กลับไปนุ่งห่มผ้าเหลือง ก่อนที่ท่านจักตาย อีกทั้งญาติโยมผู้ศรัทธาทั้งหลาย ก็มีความหวัง ความปรารถนา อย่างแรงกล้าว่า เมื่อไหร่พุทธะอิสระ จักกลับไปห่มผ้าเหลืองเสียที่ เพื่อถนอม รักษาจิตวิญญาณของท่านผู้มีคุณทั้งหลายดังกล่าว
พุทธะอิสระจึงกำหนดวัน เวลา กลับไปนุ่งห่มผ้าไตรจีวร....”
4. กรณีนี้ เห็นว่า ไม่น่าจะข้อติดขัดใดๆ อีก
ขออนุโมทนาสาธุ
โอกาสนี้ ท่านแจ้งกำหนดการในวันที่ 5 ธันวาคมไว้ด้วย ดังนี้
“กำหนดการห่มผ้าเหลืองของท่านพุทธะอิสระ
- ประชุมคณะสงฆ์ นิมนต์พระผู้อยู่ด้วยในเวลาเปลื้องจีวรมาเป็นพยานยืนยันว่าพุทธะอิสระมิได้กล่าวคำลาสิกขาหรือไม่
-ประชุมคณะกรรมการวัดพร้อมญาติโยม เพื่อขอฉันทานุมัติ ว่ามีข้อขัดข้องใดๆ หรือไม่ที่พุทธะอิสระจะห่มผ้าไตรจีวร
- กำหนดการห่มผ้าไตรจีวร
เวลา ๐๙.๐๐ น. รับผ้าไตร จากญาติโยมถวาย
เวลา ๐๙.๓๐ น. นำผ้าไตรเข้าพระอุโบสถ ในท่ามกลางองค์ประชุมคณะสงฆ์
- ขอโอกาสคณะสงฆ์ แสดงความปาริสุทธิในศีล เพื่อให้คณะสงฆ์ได้รับทราบ และยอมรับเข้าหมู่พร้อมเปล่งว่า สาธุ
- เมื่อคณะสงฆ์ยอมรับ จึงออกไปห่มผ้าไตร แล้วกลับเข้ามา กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
- แสดงอาบัติพร้อมขอปลงอาบัติ แก่คณะสงฆ์ พระสงฆ์ – จบพิธี”
สารส้ม

เริ่มคลี่คลาย! ป่าโมกยังมีน้ำท่วมบางจุด รถใหญ่สัญจรได้
บุกจับ 'นิสิต สินธุไพร' พ่ออดีตรัฐมนตรี หลังหลบหนีคดีล้มอาเซียนซัมมิต
น้ำมาอีกระลอก! ปทุมธานีเจอเจ้าพระยาท่วมซ้ำหลังเขื่อนปล่อยน้ำเพิ่ม
จนท.พิทักษ์ป่าภูเขียวถูก'กระทิงป่า'ขวิดเจ็บสาหัส ขณะลาดตระเวนกลางป่าลึก
'นักวิชาการอิสระ'แนะ ต้องแยกแยะ ชี้ไม่ใช่ติ่ง 'อนุทิน' แต่ยอมรับว่าเขาทำงานจริง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี