เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา เป็นอีกวันหนึ่งที่บรรยากาศของรัฐสภาไทยคึกคัก นอกจากด้านในจะมีการอภิปราย (ร่าง) งบประมาณประจำปี 2563 แล้ว ด้านนอกยังมี “กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ” มาชุมนุมประท้วงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบาย “ขึ้นภาษียาเส้น 2,000%” เพราะเมื่อเก็บภาษีสูง ผู้ประกอบการก็ลดหรืองดรับซื้อ สุดท้ายเกษตรกรย่อมอยู่ไม่ได้เพราะปลูกแล้วไม่มีที่ขาย
ในวันเดียวกัน ที่โรงแรม Centre Point ชิดลม หลังสวน กรุงเทพฯ ศูนย์ธรรมาภิบาลนานาชาติในการควบคุมยาสูบ (GGTC) ร่วมกับ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และ The Southeast Asia Tobacco Control Alliance (SEATCA) มีการจัดเสวนาและแถลงข่าว เรื่อง “ดัชนีระดับโลกเพื่อวัดการแทรกแซงนโยบายสาธารณะของอุตสาหกรรมยาสูบ” นำเสนอข้อมูลการจัดระดับดัชนีการแทรกแซงนโยบายความคุมยาสูบของบริษัทบุหรี่ใน 33 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
แมรี อาซุนต้า (Mary Assunta) ผู้แทน GGTCเจ้าภาพโครงการนี้ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ใช้ข้อมูลของปี 2560-2561 ในการ “วิเคราะห์บทบาทของทุนยาสูบในการเข้าไปแทรกแซงนโยบายควบคุมการบริโภคยาสูบของภาครัฐ หรือเข้าไปมีอิทธิพลทางความคิดของประชาชนผ่านกลยุทธ์ต่างๆ” รวมถึงมาตรการป้องกันและรับมือท่าทีดังกล่าวของทุนยาสูบ ซึ่ง “ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 จากทั้ง 33 ประเทศ” ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง
ถึงกระนั้น “ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุง” เช่น ระเบียบว่าด้วยการพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับตัวแทนของทุนยาสูบ ที่ปัจจุบันมีเพียงเจ้าหน้าที่รัฐสังกัด กระทรวงสาธารณสุข เท่านั้นที่อยู่ภายใต้ระเบียบดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงอื่นๆ ยังไม่มีแนวปฏิบัติอย่างเดียวกันออกมา และกระทรวงที่เหลือนี้เองที่ทุนยาสูบพยายามเสนอตัวเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ผ่านโครงการสนับสนุนต่างๆ
ขณะที่ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ในปี 2562 ถือเป็นวาระครบรอบ 30 ปี การก่อตั้ง คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ ขึ้นเมื่อปี 2532 ซึ่งวางหลักการไว้ชัดเจนตั้งแต่แรกว่า “ไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยาสูบเข้ามามีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นผู้แปรรูป (โรงงาน) ผู้ค้าปลีก และผู้ผลิต (เกษตรกรผู้ปลูก) ทำให้มาตรการควบคุมยาสูบในประเทศไทยค่อนข้างเข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม “ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไปไม่สุดทาง”เช่น ในกฎหมายฉบับปรับปรุงอย่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 (มาตรา 35) แม้จะห้ามธุรกิจยาสูบบริจาคให้กับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและนอกภาครัฐในลักษณะโฆษณาหรือสร้างภาพลักษณ์แก่ธุรกิจยาสูบ แต่ไม่ห้ามบริจาคให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตโดยตรง ดังนั้นจึงยังปรากฏข่าวทุนยาสูบบริจาคเงินหรือทำโครงการเพื่อสังคม (CSR) กับครอบครัวเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ ทำให้เมื่อจะมีการออกนโยบายอย่างรุนแรงเข้มข้น เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบก็จะออกมาคัดค้านเสมอ
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตกรณี พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งระบุแหล่งที่มาของเงินบริจาคที่พรรคการเมืองห้ามรับไว้ เช่น (มาตรา 44) ห้ามรับบริจาคเพื่อกระทำหรือสนับสนุนการกระทำการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน, (มาตรา 72)ห้ามรับบริจาคโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ,
(มาตรา 74) ห้ามรับบริจาคจากบุคคลหรือนิติบุคคลต่างประเทศหรือที่ต่างชาติถือหุ้นส่วนใหญ่ เป็นต้น แต่ไม่ระบุให้ชัดเจนว่าสำหรับเงินบริจาคจากทุนยาสูบพรรคการเมืองจะสามารถรับไว้ได้หรือไม่ รวมถึง “ความลักลั่นกันเองในภาครัฐของไทย ด้านหนึ่งต้องการควบคุมและนำไปสู่การลด ละ เลิกการใช้ยาสูบของประชาชน แต่อีกด้านก็ยังเป็นเจ้าของกิจการโรงงานยาสูบ” มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเข้าไปเป็นกรรมการบริหารหรือที่ปรึกษา ซึ่งเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) หรือผลประโยชน์ทับซ้อน
“ทั่วโลกเหลือไม่ถึง 20 ประเทศ ที่เป็นเจ้าของโรงงานยาสูบ เพราะมันทำให้การดำเนินนโยบายขัดกัน จะขึ้นภาษี จะทำอะไรก็กังวลโรงงานยาสูบ แต่จริงๆ โรงงานยาสูบมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 2 พันกว่าคนเท่านั้นเองวันหนึ่งโรงงานยาสูบต้องไม่ใช่ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลตระหนักขึ้นมาเรื่อยๆ ว่ามันขัดกัน ทำให้การควบคุมยาสูบเดินไม่สุด ผมคิดว่าไม่ช้าไม่นานรัฐบาลก็ต้องปล่อยโรงงานยาสูบ เพราะมันจะไม่มีกำไรแล้ว” นพ.ประกิต กล่าว
แน่นอนที่สุดต้องยอมรับว่า “ทุกนโยบายแม้รัฐมีเจตนาดีแต่ก็ย่อมมีผู้ได้รับผลกระทบ” ในกรณีการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบเพื่อสุขภาพของประชาชน สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือกิจการยาสูบย่อมได้กำไรน้อยลง นพ.ประกิตกล่าวว่า สำหรับกรณีโรงงานยาสูบ เชื่อว่าพนักงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบ เช่น ถูกเลิกจ้าง เพราะการบริโภคยาสูบไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่นโยบายภายในอาจเป็นการที่เมื่อพนักงานเกษียณอายุไปตามวัยก็ไม่มีการรับพนักงานใหม่เข้ามาทดแทน อีกทั้งทุกวันนี้ก็มีการใช้เครื่องจักรเข้าไปช่วยในการผลิตยาสูบมากแล้ว
ส่วนกรณีของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ขายใบยาสูบได้น้อยลง สิ่งที่ภาครัฐต้องทำคือ “เข้าไปส่งเสริมให้เปลี่ยนอาชีพ” ซึ่งมีตัวอย่างจากเพื่อนบ้านทางใต้คือ มาเลเซีย รัฐบาลเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกปอแทนยาสูบ จนปัจจุบันรายได้จากปอดีกว่ายาสูบแล้ว ภาครัฐ
ของไทยจึงควรนำเงินภาษีที่เก็บได้จากผลิตภัณฑ์ยาสูบไปช่วยให้เกษตรกรสามารถเปลี่ยนไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทน
หากทำได้อย่างนี้ “แรงต้าน” น่าจะลดลงเพราะเกษตรกรที่เป็น “คนระดับฐานราก” คงคลายความกังวลด้านรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้บ้าง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี