วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา เป็นอีกวันหนึ่งที่บรรยากาศของรัฐสภาไทยคึกคัก นอกจากด้านในจะมีการอภิปราย (ร่าง) งบประมาณประจำปี 2563 แล้ว ด้านนอกยังมี “กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ” มาชุมนุมประท้วงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบาย “ขึ้นภาษียาเส้น 2,000%” เพราะเมื่อเก็บภาษีสูง ผู้ประกอบการก็ลดหรืองดรับซื้อ สุดท้ายเกษตรกรย่อมอยู่ไม่ได้เพราะปลูกแล้วไม่มีที่ขาย
ในวันเดียวกัน ที่โรงแรม Centre Point ชิดลม หลังสวน กรุงเทพฯ ศูนย์ธรรมาภิบาลนานาชาติในการควบคุมยาสูบ (GGTC) ร่วมกับ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และ The Southeast Asia Tobacco Control Alliance (SEATCA) มีการจัดเสวนาและแถลงข่าว เรื่อง “ดัชนีระดับโลกเพื่อวัดการแทรกแซงนโยบายสาธารณะของอุตสาหกรรมยาสูบ” นำเสนอข้อมูลการจัดระดับดัชนีการแทรกแซงนโยบายความคุมยาสูบของบริษัทบุหรี่ใน 33 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
แมรี อาซุนต้า (Mary Assunta) ผู้แทน GGTCเจ้าภาพโครงการนี้ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ใช้ข้อมูลของปี 2560-2561 ในการ “วิเคราะห์บทบาทของทุนยาสูบในการเข้าไปแทรกแซงนโยบายควบคุมการบริโภคยาสูบของภาครัฐ หรือเข้าไปมีอิทธิพลทางความคิดของประชาชนผ่านกลยุทธ์ต่างๆ” รวมถึงมาตรการป้องกันและรับมือท่าทีดังกล่าวของทุนยาสูบ ซึ่ง “ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 จากทั้ง 33 ประเทศ” ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง
ถึงกระนั้น “ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุง” เช่น ระเบียบว่าด้วยการพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับตัวแทนของทุนยาสูบ ที่ปัจจุบันมีเพียงเจ้าหน้าที่รัฐสังกัด กระทรวงสาธารณสุข เท่านั้นที่อยู่ภายใต้ระเบียบดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงอื่นๆ ยังไม่มีแนวปฏิบัติอย่างเดียวกันออกมา และกระทรวงที่เหลือนี้เองที่ทุนยาสูบพยายามเสนอตัวเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ผ่านโครงการสนับสนุนต่างๆ
ขณะที่ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ในปี 2562 ถือเป็นวาระครบรอบ 30 ปี การก่อตั้ง คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ ขึ้นเมื่อปี 2532 ซึ่งวางหลักการไว้ชัดเจนตั้งแต่แรกว่า “ไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยาสูบเข้ามามีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นผู้แปรรูป (โรงงาน) ผู้ค้าปลีก และผู้ผลิต (เกษตรกรผู้ปลูก) ทำให้มาตรการควบคุมยาสูบในประเทศไทยค่อนข้างเข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม “ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไปไม่สุดทาง”เช่น ในกฎหมายฉบับปรับปรุงอย่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 (มาตรา 35) แม้จะห้ามธุรกิจยาสูบบริจาคให้กับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและนอกภาครัฐในลักษณะโฆษณาหรือสร้างภาพลักษณ์แก่ธุรกิจยาสูบ แต่ไม่ห้ามบริจาคให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตโดยตรง ดังนั้นจึงยังปรากฏข่าวทุนยาสูบบริจาคเงินหรือทำโครงการเพื่อสังคม (CSR) กับครอบครัวเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ ทำให้เมื่อจะมีการออกนโยบายอย่างรุนแรงเข้มข้น เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบก็จะออกมาคัดค้านเสมอ
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตกรณี พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งระบุแหล่งที่มาของเงินบริจาคที่พรรคการเมืองห้ามรับไว้ เช่น (มาตรา 44) ห้ามรับบริจาคเพื่อกระทำหรือสนับสนุนการกระทำการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน, (มาตรา 72)ห้ามรับบริจาคโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ,
(มาตรา 74) ห้ามรับบริจาคจากบุคคลหรือนิติบุคคลต่างประเทศหรือที่ต่างชาติถือหุ้นส่วนใหญ่ เป็นต้น แต่ไม่ระบุให้ชัดเจนว่าสำหรับเงินบริจาคจากทุนยาสูบพรรคการเมืองจะสามารถรับไว้ได้หรือไม่ รวมถึง “ความลักลั่นกันเองในภาครัฐของไทย ด้านหนึ่งต้องการควบคุมและนำไปสู่การลด ละ เลิกการใช้ยาสูบของประชาชน แต่อีกด้านก็ยังเป็นเจ้าของกิจการโรงงานยาสูบ” มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเข้าไปเป็นกรรมการบริหารหรือที่ปรึกษา ซึ่งเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) หรือผลประโยชน์ทับซ้อน
“ทั่วโลกเหลือไม่ถึง 20 ประเทศ ที่เป็นเจ้าของโรงงานยาสูบ เพราะมันทำให้การดำเนินนโยบายขัดกัน จะขึ้นภาษี จะทำอะไรก็กังวลโรงงานยาสูบ แต่จริงๆ โรงงานยาสูบมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 2 พันกว่าคนเท่านั้นเองวันหนึ่งโรงงานยาสูบต้องไม่ใช่ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลตระหนักขึ้นมาเรื่อยๆ ว่ามันขัดกัน ทำให้การควบคุมยาสูบเดินไม่สุด ผมคิดว่าไม่ช้าไม่นานรัฐบาลก็ต้องปล่อยโรงงานยาสูบ เพราะมันจะไม่มีกำไรแล้ว” นพ.ประกิต กล่าว
แน่นอนที่สุดต้องยอมรับว่า “ทุกนโยบายแม้รัฐมีเจตนาดีแต่ก็ย่อมมีผู้ได้รับผลกระทบ” ในกรณีการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบเพื่อสุขภาพของประชาชน สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือกิจการยาสูบย่อมได้กำไรน้อยลง นพ.ประกิตกล่าวว่า สำหรับกรณีโรงงานยาสูบ เชื่อว่าพนักงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบ เช่น ถูกเลิกจ้าง เพราะการบริโภคยาสูบไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่นโยบายภายในอาจเป็นการที่เมื่อพนักงานเกษียณอายุไปตามวัยก็ไม่มีการรับพนักงานใหม่เข้ามาทดแทน อีกทั้งทุกวันนี้ก็มีการใช้เครื่องจักรเข้าไปช่วยในการผลิตยาสูบมากแล้ว
ส่วนกรณีของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ขายใบยาสูบได้น้อยลง สิ่งที่ภาครัฐต้องทำคือ “เข้าไปส่งเสริมให้เปลี่ยนอาชีพ” ซึ่งมีตัวอย่างจากเพื่อนบ้านทางใต้คือ มาเลเซีย รัฐบาลเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกปอแทนยาสูบ จนปัจจุบันรายได้จากปอดีกว่ายาสูบแล้ว ภาครัฐ
ของไทยจึงควรนำเงินภาษีที่เก็บได้จากผลิตภัณฑ์ยาสูบไปช่วยให้เกษตรกรสามารถเปลี่ยนไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทน
หากทำได้อย่างนี้ “แรงต้าน” น่าจะลดลงเพราะเกษตรกรที่เป็น “คนระดับฐานราก” คงคลายความกังวลด้านรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้บ้าง!!!

แม่ทัพภาคที่ 2 มาเอง! บินด่วนเยี่ยมทหารบาดเจ็บ เหตุปะทะชานแดน ที่รพ.สุรินทร์
'ไชยา'สวมเสื้อกล้าธรรม บุกเขต2หนองบัวลำภู ชูนโยบายแก้จน เปลี่ยนสปก.เป็นโฉนดครุฑแดง
ถึงแก่อสัญกรรม คาเลดา เซีย อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงผู้ทรงอิทธิพลของบังกลาเทศ
เท้ง นำ ปชน. ลุยหาเสียงปทุมธานี ตั้งเป้ายกจังหวัด อ้อนขอประชาชนเลือกมาบริหารประเทศ
‘บช.ภ.1’เผย‘รอง ผบ.ตร.’ชู Police Care รับมือภัยคดีพุ่ง แอปเดียวช่วยปชช.แจ้งเหตุถึงอายัดบัญชี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี