วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ประเทศจำเป็นต้องมีกำลังรบ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอและเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันอธิปไตยของดินแดน แต่ประเทศใดก็ตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน หรือยังไม่ได้มีสถานภาพของการอยู่ดีกินดี แต่ทว่าผู้นำการเมืองของประเทศนั้น กลับทุ่มเงินมหาศาลของแผ่นดินเพื่อขนซื้ออาวุธสงคราม ประเทศนั้นน่าจะมีปัญหาภายใน หรือมิฉะนั้น ก็น่าจะมีปัญหาผู้นำการเมืองฉ้อฉล
แน่นอนว่าความมั่นคงของประเทศย่อมเป็นเรื่องสำคัญและเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความมั่นคงของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีกำลังรบ และมีอาวุธสงครามจนล้นแผ่นดิน แต่ความมั่นคงของประเทศยังขึ้นอยู่กับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ระดับการศึกษาที่ดีของประชาชน และขึ้นอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล
สำหรับประเทศไทย มีข้อสังเกตประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ หลังจากการก่อรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ปรากฏว่ามีการอนุมัติซื้ออาวุธสงครามมากขึ้น และต้องบอกว่ามากจนน่าจะผิดสังเกต และด้วยข้อสงสัยในเรื่องนี้ จึงทำให้มีกระแสเรียกร้องจากคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้มีการปฏิรูปกองทัพของไทย และต้องการให้กองทัพแสดงความโปร่งใสในการจัดซื้ออาวุธสงคราม
ไม่ปฏิเสธว่าในยุคที่รัฐบาลไทยมาจากการเลือกตั้ง (แต่การเลือกตั้งบริสุทธิ์แท้จริงหรือไม่ ต้องไปศึกษากันเป็นรายกรณีไป) ก็มีการซื้ออาวุธสงครามเช่นกัน แต่มีข้อเปรียบเทียบว่า ในยุคที่รัฐบาลมาจากการรัฐประหารนั้น การซื้ออาวุธสงครามทำกันอย่างเอิกเกริก และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านเรื่องการซื้ออาวุธสงคราม จนมีการกล่าวว่า คิดอยากจะซื้ออะไร ก็ซื้อได้ เพราะรัฐบาลทหารไม่ฟังเสียงคัดค้านของสาธารณชนในเรื่องการซื้ออาวุธ
แต่ครั้นจะหวังให้สภาฝักถั่วที่รัฐบาลทหารตั้งขึ้นลุกขึ้นมาตรวจสอบ ถ่วงดุล หรือคัดค้านการซื้ออาวุธโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องหวัง เพราะไม่มีวันที่สภาฝักถั่วจะกล้าหาญทำในเรื่องเช่นนั้นได้
ประเทศไทยนั้น กองทัพไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมโดยพลเรือน เพราะทหารเชื่อเอาเองมาโดยตลอดว่าคนที่ไม่ใช่ทหารไม่มีวันรู้เรื่องราวของกองทัพ และไม่มีวันรู้เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ดีเท่ากับทหาร แต่ขณะเดียวกันทหารก็ยังเชื่อเอาเองอีกว่า ทหารสามารถบริหารประเทศไทยได้ เพราะทหารทำได้ทุกอย่าง เนื่องจากทหารเป็นผู้รักษาชาติ และปกป้องประชาชน
แนวคิดทหารเป็นใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เป็นแนวคิดของรัฐเผด็จการโดยทหาร ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดพลเรือนเป็นใหญ่ตามหลักการในระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งหากจะพูดกันโดยตรงแล้ว ในประเทศที่มีระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบเข้มข้นนั้น จะไม่มีโอกาสได้เห็นทหารขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจการเมืองอย่างเด็ดขาด
แต่เมื่อรัฐไทยมีกองทัพและทหารเป็นใหญ่ ดังนั้นทหารและกองทัพจึงไม่เคยอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยรัฐบาล ซึ่งพบว่ากองทัพมีสถานะเป็นรัฐซ้อนรัฐ เพราะทหารกลายเป็นผู้มีอำนาจพิเศษเหนือรัฐบาล
เมื่อทหารขึ้นมามีอำนาจรัฐเต็มที่ ไร้ผู้ถ่วงดุลอำนาจ ไร้ผู้ตรวจสอบ ดังนั้นตัวแสดงหลักทางการเมืองที่มีอำนาจเต็มจนล้นปฐพีจึงไม่ใส่ใจต่อเสียงคัดค้านใดๆ รัฐบาลทหารจึงสนใจเฉพาะการดำเนินไปบนหนทางแห่งลัทธิบริโภคอาวุธสงคราม แทนการให้ความสำคัญกับใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อสร้างความเจริญเติบโตในด้านอื่นๆ เช่นการศึกษาศิลปวัฒนธรรม การผลิตและอุตสาหกรรม การค้าพาณิชย์ การแพทย์ และสาธารณสุข

‘กกล.บูรพา’ยึด‘ไอโฟน-ซิมฮ่องกง’บิ๊กล็อต ซุกไร่อ้อยอรัญฯ คาดเตรียมส่ง‘แก๊งคอลฯ’ฝั่งเพื่อนบ้าน
ลากปชช.เข้าสู่สงคราม! สม รังสี ลั่น ฮุนเซน ปล่อยคลิปเสียงคุยอิ๊งค์ เขมรได้อะไร?
‘ปชป.’เปิด 33 ว่าที่ผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ ‘อภิสิทธิ์’ดันใช้การเมืองสุจริตเปลี่ยนแปลงประเทศ
'วัน อยู่บำรุง'โพสต์ส่งสัญญาณชีวิตถึงจุดเปลี่ยน จับตาโยกซบ 'พรรคโอกาสใหม่'
‘นายกฯ’เรียกถก‘ผบ.เหล่าทัพ’ ก่อนนั่งหัวโต๊ะประชุม‘สมช.’

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี