พรรคอนาคตใหม่ ชำแรกแทรกเกิดในพื้นที่ทางการเมือง ผ่านการ“แสดงตน” ที่จะ “เปลี่ยนแปลง” การเมืองไทย โดยอาศัย “การย่ำอยู่กับที่” ทางการเมืองก่อนหน้านั้น นานนับสิบปี จนคน“รุ่น” หนึ่ง มองว่า บ้านเมืองไม่เดินหน้า ในเวลาที่พวกเขาเติบโต บัดนี้เขาโตพอแล้ว พอที่จะ “ลงมือ” เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากเห็น
คำว่า “โตพอแล้ว” ในที่นี้หมายถึง เขา “มีสิทธิเลือกตั้ง” แล้วนั่นแปลว่า หากพวกเขาสามารถรวมตัวกันได้มากพอ การ “ยื้อแย่ง”พื้นที่แห่งอำนาจ หรือการเข้าไป “มีส่วน” ในอำนาจของการบริหารบ้านเมือง พวกเขาก็สามารถ “เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้” แม้เริ่มจากทีละเล็กละน้อยก็ตาม
ประจวบเหมาะกับภาวะ “เบื่อการเมืองเดิม” ของผู้คนมีอยู่อย่างหนักหน่วงพอดิบพอดี มันจึงมีพื้นที่ “ว่าง” รองรับพรรคอนาคตใหม่ และยังแถมด้วยพื้นที่ “ทดลอง” ลองดูซิ เผื่อว่ามันจะดี
โดยมี “กำลังเสริม” ที่สำคัญมาก จากกรณีพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ!!
นั่นเป็นบรรยากาศแห่ง “ความแค้น” ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่พร้อมแล้ว ถึงจุดที่ “กล้าท้ารบ” แล้ว ในเมื่อ “เล่นกันขนาดนี้”
ก็มา “วัดพลัง” กันดู อารมณ์แบบนี้มีอยู่ เราอย่าปฏิเสธ
จึงจะเห็นได้ว่า จากจุดเริ่มต้นที่ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ขายประเด็นการตั้งพรรคการเมืองที่ชื่อ “อนาคตใหม่” ว่า ถึงเวลาของคนอีกรุ่นจะขึ้นมาขับเคลื่อนบ้านเมือง ทนการจมอยู่กับวังวนของการขัดแย้งทางการเมืองในขั้วเดิมๆ แบบเดิมๆ สภาพเดิมๆ และลงเอยด้วยการ “รัฐประหาร” อย่างเดิม นี่คือ “สมการแรก” ของธนาธรและคณะ
ขณะที่หลังพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ก็เกิดกระแสควานหา “ตัวตายตัวแทน” ที่คนซึ่งตั้งใจจะหนุนพรรคไทยรักษาชาติไม่อาจหวนไปเลือกพรรคเพื่อไทยได้แล้ว เพราะเต็มไปด้วย “คนเก่าๆ” จึงพร้อมจะเทมาทางพรรคอนาคตใหม่
ธนาธรปรับแคมเปญหาเสียงทันที ด้วยการเริ่มพูดเรื่อง “ภารกิจ 2475” ที่ยังไม่เสร็จ
มันก็เห็นชัดแล้ว ว่าเขาหา “ที่ยืน” เพื่อรองรับกระแส “เจ็บใจ” ของแฟนคลับไทยรักษาชาติ และอาจบวกกับ “ความต้องการลึกๆ” ที่อยู่ในกลุ่มของเขาอยู่แล้วด้วย
และยังได้รับอานิสงส์จาก “ฮ่องกงเอฟเฟกท์” มาเติมคะแนนให้อีกระลอกหนึ่งด้วย แม้คืนก่อนเลือกตั้งจะมีรายการพิเศษของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเกิดขึ้น ก็ไม่อาจ“ตัดกำลัง” ในส่วนนี้ หนำซ้ำยังช่วยเพิ่มกำลัง หรือเป็นการ “ตอกย้ำ” ความเชื่ออะไรบางอย่างที่เป็นควันหลงจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ให้ “ลงหลักปักแน่น” ยิ่งขึ้นไปอีก
โดยรวมๆ ที่กล่าวมานั้น คือ ปัจจัยก่อร่างสร้างพรรคอนาคตใหม่ ที่แม้เพิ่งตั้ง แต่ก็ได้ สส. จากการเลือกตั้งมากกว่าพรรคเก่าแก่อย่าง “ประชาธิปัตย์” ซึ่งเวลานั้นชู “ทางเลือกที่ 3” ซึ่งเป็น “ทางออกจากความขัดแย้ง” ไปสู่การหา “ทางออกจากความยากเข็ญ”ที่เป็นปัญหาพื้นฐานร่วมกัน คือ เศรษฐกิจฝืดเคือง สังคมหมกมุ่นกับความขัดแย้งไม่รู้จบ ฯลฯ จนเกิดคำขวัญ “แก้จน สร้างคน สร้างชาติ”แต่ก็มาพินาศด้วยคำขวัญของพรรคพลังประชารัฐที่เล่นแรง“เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” คนจึงไม่สนใจแล้ว เรื่องจะต้องมาแก้จน สร้างคน สร้างชาติ คนพร้อมที่จะ “ประจันหน้ากัน” ให้“รู้ดำรู้แดง” กันไปเสียทีมากกว่า ประชาธิปัตย์จึงถูกทิ้ง ไปเลือกพลังประชารัฐเป็น “ไม้กันหมา” หรือยอมเอา 1 คะแนนการเลือกตั้งไป“จ่ายค่าคุ้มครอง” ดีกว่า ผลการเลือกตั้งจึงออกมาในรูป “ฝ่ายเผด็จการ” กับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ทางออกแบบประชาธิปัตย์ โดย“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จึงถูกเท!!
ทว่าในที่สุด เมื่อจัดตั้งรัฐบาลมาได้สักพัก อารมณ์ผู้คนก็เริ่มคลี่คลาย คงเห็นแล้วว่า ความสงบมันเกิดขึ้นเองโดยสภาพ ทักษิณอ่อนแรง แต่ “อนาคตใหม่” กับ “แกร่ง” ขึ้นเรื่อยๆ และฝ่ายอำนาจหลักก็เริ่มบ่ายหน้ามาประจันกับ “อนาคตใหม่” อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งผ่านการให้สัมภาษณ์ ผ่านการดำเนินคดี ผ่านการร้องให้หน่วยงานอิสระตรวจสอบ และล่าสุด ผ่านการบรรยายพิเศษของผู้บัญชาการทหารบก!!
แทนที่จะทำให้อนาคตใหม่ “อ่อนแรง-สิ้นสภาพ” หรือ “หวาดกลัว” กลับเป็นการเปิดพื้นที่โดยชอบธรรมให้ “นายปิยบุตร
แสงกนกกุล” ได้ร่ายยาวทฤษฎี “ประชาธิปไตย” ให้คนทั่วไปได้ฟังอย่างตั้งใจ พร้อมเพรียง และโดยชอบ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการ “หาเหตุ” ในการพูดเหมือนที่ผ่านๆ มา อีกแล้ว ทว่าเป็นการเปิดฟลอร์ให้โดย ผบ.ทบ. มีหรือที่ปิยบุตรจะปล่อยผ่าน
ปิยบุตรนั้นคือ “เนื้อหา” ของอนาคตใหม่ ธนาธรไม่ใช่ครับ
ธนาธรเป็นพียง “นายทุน” ที่มีอุดมการณ์คุคั่งแบบเดียวกัน แต่มีบุคลิกภาพที่ดูเป็น ผู้นำ” มากกว่าปิยบุตร และปิยบุตรก็ยังไม่ได้พร้อมที่จะยืน “หัวแถว” ในตอนนั้น ทว่าเมื่อผ่านกาลเวลามาระยะหนึ่งแล้ว เราจะเห็น “ความรู้-ความคิด” ที่จำกัด ใช้ถ้อยคำเดิมๆ ชุดความคิดเดิมๆ เท่าที่บรรจุไว้ของธราธร ทำให้คนรู้แล้วว่าธนาธรมีชุดความคิดที่ “จำกัด” รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่นำเสนอสู่สังคมได้ไม่ลึกเท่ากับปิยบุตร พูดง่ายๆ ว่า ในทางเนื้อหาและชุดความคิด ปิยบุตรนั้นคือ “ของจริง”
ในสภาพที่ธนาธรปฏิบัติหน้าที่ในสภาไม่ได้ พื้นที่ตรงนั้นจึงเป็นพื้นที่ของ “ปิยบุตร” ไปโดยปริยาย โดยมี “ช่อ-พรรณิการ์ วานิช” เป็นตัวสอดแทรก แต่แทรกขึ้นมาทีไร ก็ “ฉิบหายวายป่วง”ทุกทีไป
ปิยบุตร จึงเป็นตัวเล่นที่ “ทรงพลัง” ขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ช่อกับธนาธร พยายามจะ “ตอแย” กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพียง “พริตตี้บอย” ของรัฐบาลในเวลานี้ ไม่ใช่ “กัปตันตัวจริง” อย่างสมัยที่เป็นหัวหน้า คสช. การไปตอแยกับพล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นเรื่อง “เปล่าประโยชน์” และ “น่ารำคาญ”
ปิยบุตรนั้น ใช้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแค่ “กระสอบทราย” เตะไปเรื่อยๆ แทงไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หวังว่ากระสอบทรายนั้นจะ “เจ็บ” แต่เตะแล้ว ต่อยแล้ว แทงแล้ว ให้มันไป “เจ็บ” ที่ “จุดอื่น”
ปิยบุตรจึงเริ่มจากใช้ “หนังสือของนายวิษณุ เครืองาม” มา“คว่ำ” นายวิษณุ ซึ่งเป็น “เกราะกำบังทางกฎหมาย” ของ พล.อ.ประยุทธ์ และอื่นๆ ในกรณี “การถวายสัตย์ปฏิญาณ” ที่ไม่เป็นไปโดยถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ ซึ่งในหนังสือที่นายวิษณุเขียนแล้วค่ายมติชนพิมพ์ขาย บอกเอาไว้ว่า “เป็นปัญหา” ที่ต้องถูกส่งไป “วินิจฉัย”
ในช่วงนั้น จึงจะเห็นว่านายปิยบุตร “เอาเป็นเอาตาย” กับเรื่องนี้มาก และในที่สุดปิยบุตรก็ชนะในประเด็นนี้ เพราะท้ายที่สุด การวินิจฉัยมีก็เหมือนไม่มี คลุมเครือ ไม่กระจ่าง จึงเป็นเรื่อง “เงาอำพราง” สมดังที่ปิยบุตรอยากเปิดให้ “เปลือย”
ครั้น ผบ.ทบ. ออกมาบรรยายพิเศษอย่างเอาจริงเอาจัง จากใจห่วงใย ชาติบ้านเมืองจาก “คนบางกลุ่ม” และ “วิธีการบางอย่าง” ยิ่งเปิดทางให้ปิยบุตรได้ “เล่น” ต่อ
ปิยบุตรสบโอกาสสาธยายหลักการ “ประชาธิปไตย” ซึ่งพูดกันจริงๆ มันตรงกับหลักประชาธิปไตยมากกว่า ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ แบบหยวนๆ นะ แบบ “เข้าใจตรงกัน” นะ ปิยบุตรก็ได้ที เพราะรู้ว่า หากจะต้องพูดให้ชัดกว่านี้ ผบ.ทบ.พูดไม่ได้แล้ว มันมี “ข้อจำกัด” ที่จะพูดออกมา จึงทำได้แค่ “พูดเป็นนัยๆ”
ปิยบุตรไม่ได้อยาก “ชนะ” ผบ.ทบ.หรอกครับ แต่มันเป็นเรื่องทำนองเดียวกันกับกรณีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่อง “น้ำท่วมปาก” ที่ปิยบุตร “ขยี้” ได้ เขาจึงไม่ทิ้งโอกาสนั้น
เช่นเดียวกับความพยายาม “ขยี้” ว่าการออกกฎหมายในรูป“พระราชกำหนด” ของ พระราชกำหนดการโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 นั้น หากไม่เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ฉุกเฉิน ไม่อาจเลี่ยงได้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องปิยบุตรพยายามขยี้ผ่านการอภิปรายให้ผู้เกี่ยวข้องอธิบายว่าจำเป็นเร่งด่วนอย่างไร โดยที่ตนก็ไม่ได้คัดค้านว่ามันไม่จำเป็นเร่งด่วนเพราะเหตุใด เลือกจะผลักภาระให้อีกฝ่ายเป็นผู้อธิบาย
จะเข้าใจเรื่องนี้ต้องดู “คำประกาศชัย” ของ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช สส.อนาคตใหม่ ในฐานะโฆษกพรรคก็ได้โพสต์ข้อความ
ในเฟซบุ๊คส่วนตัว ประกาศชัยชนะที่ได้ยืนหยัดหลักการประชาธิปไตยว่า
“70 เสียงในสภา แม้ไม่มาก แต่หนักพอยืนยันหลักการประชาธิปไตย
ในช่วงเวลาที่ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร ประเมินสถานการณ์ไม่ถูกข้อมูลหลายด้านไม่รู้จะชั่งน้ำหนักอย่างไร ใดจริงใดเท็จ แรงกดดันมีมากมาย ไม่มีใครกล้าฟันธง
ในเวลาเช่นนี้ อย่าคิดซับซ้อน จงเชื่อมั่นในหลักการ ตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา รักษาระบบรัฐสภาอันเป็นตัวแทนอำนาจสูงสุดซึ่งเป็นของประชาชน หลักการที่ถูกต้อง ย่อมนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้อง แม้จะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่มันจะพาเราไปข้างหน้าในทางที่เราฝัน สู่เป้าหมายที่เราต้องการ
และนี่คือพรรคอนาคตใหม่ พรรคที่จะไม่คลอนแคลนในอุดมการณ์ที่ยึดโยงเราเข้ากับประชาชนทั้งประเทศ
วันนี้ 70 ผู้แทนราษฎรอนาคตใหม่เดินไปบนหลักการที่ถูกต้องและเราเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ 70 คน แต่มีหลายสิบ หลายร้อยหลายพัน หรือหลายล้าน
เดินไปกับเราบนถนนประชาธิปไตย สู่เป้าหมายคือความเท่าเทียมและเป็นธรรมในสังคม”
ทว่า นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊คระบุว่า กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร. 1 ทม.รอ.) และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร. 11 ทม.รอ.) มีภารกิจในการถวายการอารักขาและถวายพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ ฯลฯ แต่เป็นส่วนราชการที่อยู่ในการบังคับบัญชาของกองทัพบก
ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 เพื่อกำหนดฐานะของส่วนราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับราชการในพระองค์และพระราชกรณียกิจขององค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ให้เป็นส่วนราชการในพระองค์โดยปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ดังนั้น การโอน ร. 1 ทม. รอ. และ ร. 11 ทม.รอ. ไปเป็นหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ จึงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงสายการบังคับบัญชา แต่ภารกิจยังคงเป็นเช่นเดิม
ส่วนเหตุที่จะออกเป็นพระราชกำหนดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ประกอบด้วย (1) เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ (2) ความปลอดภัยสาธารณะ (3) ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ (4) เพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ซึ่งผมเห็นว่าภารกิจที่เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยถือเป็นเรื่องของประเทศและเป็นเรื่องสาธารณะ จึงเป็นเงื่อนไขที่จะออกเป็น พ.ร.ก. ได้ แต่จะเป็นกรณีฉุกเฉินหรือมีความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่นั้น กฎหมายถือเป็นดุลพินิจและอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารที่อยู่นอกเหนืออำนาจการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญผมจึงไม่ขอก้าวล่วง
ดังนั้น สาระของเรื่องนี้มีเพียง 2 ประเด็น คือ การเปลี่ยนแปลงสายการบังคับบัญชาและวิธีการในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งผมเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสายการบังคับบัญชาของ2 หน่วยทหารดังกล่าวจะตรงและสั้นลงทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นส่วนวิธีการนั้นจะเสนอเป็น พ.ร.ก. หรือ .พร.บ. ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกันนั่นคือเหตุผลผมเห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยยกมือผ่านพระราชกำหนดดังกล่าวเพราะไม่มีอะไรเกี่ยวกับการยืนข้างประชาชนหรือมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ คนละเรื่องกันครับ
เรื่องนี้กลายเป็น “แผลภายใน” พรรคร่วมรัฐบาล และเป็น “แผล” ของพรรคอนาคตใหม่ที่มีคนโหวตสวนไป 3 คน กับงดออกเสียงอีก 1 คน ส่งผลให้พลพรรคกองเชียร์ยกทัพไปถล่มคนเหล่านั้น จนถูกถามเรื่อง “ความเป็นประชาธิปไตย” ว่าทำไมไม่เคารพความเห็นต่าง กับอีกข้างบอกว่า เมื่อพรรคมีมติแล้ว ทำไมไม่ปฏิบัติตาม
ขณะนี้พรรคอนาคตใหม่กำลังอยู่ในสภาพ “วัวลำพอง” กำลังฮึกเหิม จนอาจ “ประมาท” หากอีกฝ่ายรู้จัก “ตี” ให้ตรงจุด ไม่เยอะ ไม่เกิน ไม่ปรักปรำใส่ความ หรือตีความให้เกินจริง
บางที การ “จำอะไรไม่ได้เลย” ในการให้การในศาลของหัวหน้าพรรค บวกความลำพองของปิยบุตรและช่อ บวกความก้าวร้าวของกองเชียร์ หากอีกพวกส่ง “วัสสการพราหมณ์” เข้ามาป่วนฝั่งนี้ บางที พวกเขาอาจสะดุดแข้งขากันเอง หกล้ม
หัวทิ่มหัวตำไปก่อนก็ได้ ไหนจะความขัดแย้งภายในเรื่องการคัดตัวผู้สมัครท้องถิ่น ที่ปิยบุตรกำลังถูกเปิดโปงว่าไม่ใช่
นักประชาธิปไตยอะไรหรอก รวมถึงคดีความต่างๆ ที่มีอยู่ล้วนเป็นปัจจัย “ดับ” อนาคตใหม่ได้แทบทุกเรื่อง
แต่หากพวกเขาตั้งสติ เพลาการ “เล่นแรง-เล่นเกิน”แล้วค่อยๆ สร้างความชอบธรรมเรื่องประชาธิปไตย เรื่องกระบวนการที่ไม่ควรจะ “พิเศษ” อะไรไปเรื่อยๆ
อนาคตใหม่ อาจจะมีอนาคตที่สามารถ “ยึดกุม” ความคิดของคนได้ และนำไปสู่พลังของความเปลี่ยนแปลง!!
ทั้งนี้ อยู่ที่เขาจะเอาชนะ “ความลำพอง” ในตัวเองได้ดี...เพียงใด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี