“คุกมีไว้ขังคนจน” คำที่ถูกพูดถึงในสังคมไทยมาช้านานซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของ “การประกันตัว” หรือในทางกฎหมายเรียกว่า “การปล่อยตัวชั่วคราว” ที่ถูกมองว่ายิ่งตอกย้ำคำพูดข้างต้นให้ชัดขึ้น เพราะในคดีแบบเดียวกัน ผู้ต้องหาที่มียศตำแหน่งสูงหรือฐานะร่ำรวยยังสามารถใช้ชีวิตในโลกภายนอกจนกว่าศาลจะตัดสินว่าผิดจริงในขณะที่ผู้ต้องหาที่มีพื้นเพเป็นคนหาเช้ากินค่ำนามสกุลไม่ดังอาจต้องถูกจองจำเสียก่อนเพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และบางครั้งก็ถูกจองจำไปโดยไม่มีความผิดเพราะสุดท้ายศาลตัดสินยกฟ้อง
ความเหลื่อมล้ำนี้นำมาซึ่งข้อเรียกร้องให้ปรับปรุง ดังที่ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีและอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ผลักดันโครงการ “ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน” พยายามชี้ให้เห็นว่า “ระบบการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวนั้นขัดรัฐธรรมนูญ” อาทิ เมื่อเดือน ก.ย. 2562 ได้ไปพูดในวงเสวนา “มาตรการด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อการลดการลงโทษทางอาญา” ในงานสัมมนา “การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 2” ระบุว่า
ประเด็นนี้ในแวดวงนักกฎหมายยังพูดถึงน้อยเกินไป
“รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่วางหลัก Presumption of Innocent (ผู้ต้องหาหรือจำเลยคือผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา) คือฉบับ 2489 แต่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิฯอาญา) ออกมาปี 2477 โดยที่ไม่เคยอนุวัฒน์ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเลย ความจริงท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ คงตั้งใจจะทำ เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2489 แต่ท่านถูกปฏิวัติก่อนในปี 2490 ตั้งแต่นั้นมารัฐธรรมนูญทุกฉบับกลับมาใหม่ พอจะทำ อยู่ได้ 2-3 ปีถูกฉีกอีก สุดท้ายคนก็ลืมไปแล้วว่าป.วิฯ อาญา มันต้องแก้” อาจารย์ปริญญา กล่าว
ล่าสุดเมื่อต้นเดือน พ.ย. 2562 อาจารย์ปริญญา ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้งในงานเสวนา “การปล่อยชั่วคราว
ทางปฏิบัติที่ขัดรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 29 วรรค 2” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ว่า ปัจจุบันมีผู้ถูกจองจำระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดประมาณ 6 หมื่นคน และถูกปฏิบัติเหมือนกับนักโทษที่ต้องคำพิพากษาแล้ว ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ระบุในมาตรา 29 ว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบุคคลใดกระทำผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดไม่ได้
ขณะที่ใน ป.วิฯอาญา มาตรา 110 ระบุว่า ในคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินห้าปีขึ้นไป ผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวต้องมีประกันและจะมีหลักประกันด้วยหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขในภายหลัง โดยระบุเพิ่มเติมว่า การเรียกประกันหรือหลักประกันตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองจะเรียกจนเกินควรแก่กรณีมิได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือข้อบังคับของประธานศาลฎีกา แล้วแต่กรณี
อาจารย์ปริญญา กล่าวต่อไปว่า “ในกฎหมายข้างต้นจะเห็นว่าไม่มีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเงิน แล้วการต้องใช้เงินประกันทำให้คนจนประกันตัวไม่ได้มาจากไหน?” คำตอบอยู่ที่ “ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการเรียกประกันหรือหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2548” ซึ่งระบุไว้ในข้อ 5 ว่าด้วยการกำหนดวงเงินประกัน เช่น คดีที่มีโทษประหารชีวิต ให้กำหนดวงเงินประกันไว้ไม่เกิน 8 แสนบาท หรือคดีที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ให้กำหนดวงเงินประกันไว้
ไม่เกิน 6 แสนบาท เป็นต้น
คำถามคือ “ในประเทศไทยมีสักกี่คนที่จะมีเงินขนาดนี้” นอกจากนี้การที่ไประบุในข้อ 4 ว่า “ในการพิจารณาว่าการปล่อยชั่วคราวควรจะมีประกันหรือไมต้องมีประกัน ให้ศาลพิจารณาถึงความร้ายแรงแห่งข้อหา” ยังเป็นอุปสรรคต่อการประกันตัว “เมื่อตำรวจตั้งข้อหามักตั้งข้อหาหนักไว้ก่อนเสมอ” ผลคือเป็นช่องทางให้คนร่ำรวยที่ทำผิดนำเงินมาวางประกันไว้แล้วหลบหนีไป “อย่าว่าแต่ 8 แสน ต่อให้หลักล้าน คนที่เงินถึงก็ยอมจ่ายถ้ามองว่าตนเองเสี่ยงจะติดคุกเพราะศาลตัดสินว่าผิดจริง” ส่วนคนจนจะผิด-ถูกไม่รู้ก็ต้องถูกจองจำไปก่อน
“ถ้าไม่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง..แล้วจะเอาอะไรเป็นหลักประกันว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี?” รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศหนึ่งที่เปลี่ยนมาใช้ “ระบบประเมินความเสี่ยง” หากผู้ต้องหามีแนวโน้มสูงว่าจะหลบหนีก็ไม่ต้องให้ประกันตัว แต่ถ้ามีแนวโน้มต่ำก็ให้ประกันตัวได้ โดยปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีมาช่วย อาทิ “กำไล EM” ที่สามารถระบุได้ว่าผู้สวมใส่อยู่ที่ใด “อย่าไปท้อใจกับข่าวกำไลข้อมือ EM ถูกแกะออกได้ นั่นคือปัญหาทางเทคนิคที่ต้องแก้ไขกันต่อไป” อย่างใน ยุโรป ใช้เป็นกำไลข้อเท้าเพราะแกะยากกว่า
ทั้งนี้ ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการเรียกประกันหรือหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2548 ซึ่งเพิ่งมีฉบับใหม่ (พ.ศ.2562) ออกมา โดยแก้ไขเรื่องการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ต้องมีประกันและจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ได้ แต่วงเงินประกันต้องไม่สูงเกินควรแก่กรณี จากคดีที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เป็นคดีที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สิ่งที่ควรแก้ไขต่อไปคือในส่วนการกำหนดวงเงินตามอัตราโทษต่างๆ
ขณะที่ในระยะยาว ต้องนำไปสู่การแก้ไข ป.วิฯอาญา ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ “เรื่องนี้ต้องไม่ถูกตั้งแง่ในทางการเมือง เพราะคนที่ติดคุกระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดมีทุกสีทุกกลุ่ม” ดังนั้นทั้งพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องร่วมกันทำให้สำเร็จเพื่อให้สังคมไทยดีขึ้น “อย่าไปมองว่าถ้าเป็นกฎหมายที่เสนอโดยพรรคฝ่ายรัฐบาล พรรคฝ่ายค้านต้องค้าน หรือเสนอโดยพรรคฝ่ายค้านแล้วพรรครัฐบาลก็ค้าน” เพราะในบรรดาความเหลื่อมล้ำทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนร้ายแรงไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว
“ไม่ว่าจนหรือรวยถ้าทำผิดก็ต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เหลื่อมล้ำ ทำอย่างไรไม่ให้มีแต่คนรวยที่สู้คดีนอกคุกได้ แต่ทุกคนต่างหากที่มีสิทธิสู้คดีนอกคุกได้ ต้องได้รับความคุ้มครองในกระบวนกฎหมายอย่างเสมอกัน” อาจารย์ปริญญา ฝากข้อคิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี