ไม่นานมานี้ ได้มีหนังสือวิชาการนามว่า “The Third Revolution: XI Jinping and the New Chinese State (การปฏิวัติรอบที่สาม : สี จิ้น ผิง กับรัฐจีนใหม่) ออกมาวางแผง ซึ่งเขียนโดยคุณเอลิซาเบธ ซี อีคอนอมี (Elizabeth C. Economy)
โดยเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ นอกจากผมจะมีโอกาสได้อ่านแล้ว ผมยังได้ร่วมวิพากษ์วิจารณ์กับกลุ่มนักวิชาการไทยกลุ่มหนึ่งที่มหาวิทยาลัยรังสิตอีกด้วย ก็เลยขอถือโอกาสนี้สะท้อนความคิดเห็นของผมต่อหนังสือนี้เชิงเล่าสู่กันฟัง และฝากเป็นข้อคิดในการติดตามความเป็นไปในจีน และโดยเฉพาะในการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งมีผลกระทบต่อพวกเราทุกคนทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ไม่มากไม่น้อย แตกต่างกันไปตามสาขาอาชีพและวิถีชีวิต เพราะบทบาทของจีนในไทยก็กว้างขวาง มีความลึกซึ้งขึ้นเป็นลำดับ ทั้งด้วยเจตนาของผู้นำของจีนเอง และมิตรไมตรีที่คนไทยเราโดยทั่วๆ ไปมีต่อประเทศจีนและคนจีน
ผู้เขียนคือ คุณเอลิซาเบธ ได้ระบุไว้ว่าเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ท่านสี จิ้น ผิง นั้น เป็นผู้นำจีนที่ยิ่งใหญ่สุดลำดับที่ 3 ของจีนต่อจากท่านเหมา เจ๋อ ตุง และท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงกล่าวคือ มีอำนาจล้นฟ้า คำไหนคำนั้นเป็นประกาศิต ลูกพรรคคอมมิวนิสต์และประชาชนพลเมืองต้องถือปฏิบัติ เชื่อฟังอย่างสงบราบคาบ ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าท่านสี จิ้น ผิง นั้นมีอำนาจเต็มโดยเป็นทั้งประธานาธิบดี เป็นทั้งเลขาธิการพรรค เป็นประธานคณะกรรมาธิการทหาร และยังดำรงตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับความมั่นคงและเศรษฐกิจ
แต่ในประเด็นที่คุณเอลิซาเบธนับว่า ประเทศจีนภายใต้การนำพาของท่านสี จิ้น ผิง เป็นการปฏิวัติสังคม (Revolution) ของจีนครั้งที่ 3 ต่อจากการปฏิวัติสังคม โดยท่านเหมา เจ๋อ ตุง และท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง นั้น ผมค่อนข้างจะเห็นต่างออกไป ด้วยความว่า การปฏิวัติสังคม นั้น ตามความเข้าใจของผมแล้วหมายถึง การขุดถอนรากสังคมเดิม การเปลี่ยนรูปโฉมและเนื้อหาของสังคมโดยสิ้นเชิง และการ “ปฏิวัติ” นั้นส่งผลกระทบกับสังคมทั้งสังคม และผู้คนทุกคนชนิดที่ รูปร่าง หน้าตา สภาพของสังคมเดิมไม่เหลือหรอให้ได้เห็นอีกเลย สังคมนั้นได้กลายร่างไปเป็นสังคมใหม่หมด
ย้อนไปเมื่อท่านเหมา เจ๋อ ตุง เอาชนะฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก๊กมินตั๋ง และเข้าครอบครองและปกครองจีนด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ จีนได้เปลี่ยนจากสังคมศักดินา สังคมขุนนาง กลายไปเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ซึ่งปราศจากชนชั้น ปราศจากสิทธิพื้นฐาน เช่น การครอบครองที่ดิน สิทธิในการเป็นเจ้าของกิจการ โดยทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของรัฐ และรัฐดำเนินการโดยการกำกับการและควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์พรรคเดียวเท่านั้น แล้วเพื่อให้พลังคอมมิวนิสต์เข้มข้น ท่านเหมา เจ๋อ ตุง ก็นำเอานโยบายและมาตรการว่าด้วยหลักก้าวกระโดด (Great Leap Forward) และการปฏิวัติสังคมวัฒนธรรม (Cultural Revolution) ซึ่งส่งผลกระทบทั้งสังคมและผู้คนชาวจีนทุกคน
ในขณะที่ท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง ได้ปฏิวัติสังคม ด้วยการลดบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์ในเรื่องเศรษฐกิจ (โดยยังคงอำนาจพรรคไว้ในการปกครองประเทศ) ซึ่งเป็นการเปิดประเทศให้เศรษฐกิจการตลาด หรือทุนนิยมเข้ามาเป็นวิถีชีวิต ส่งผลให้สังคมจีนประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการพัฒนาประเทศ จนประเทศจีนก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก แค่ในระยะเวลาประมาณ 30 ปี ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก และเป็นการปฏิวัติสังคมอย่างแท้จริง นอกจากจะส่งผลต่อจีนแล้ว ยังเสริมสร้างสถานะของจีนในเวทีโลกอีกด้วย
ทั้งท่านเหมา และท่านเติ้ง ได้เพียรพยายามเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปโฉมสังคมจีน และดำเนินการเหล่านั้นกับคนจีนทุกคน
แต่ในกรณีของท่านสี จิ้น ผิง นั้น ผมกลับเห็นว่ามิได้มีการปฏิวัติสังคมแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงการปฏิรูปแค่ตัวพรรค และเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง เพื่อรวมศูนย์อำนาจเป็นเอกเทศ อย่างเข้มข้น และเข้มแข็งเท่านั้น เพื่อจะได้ใช้อำนาจของตน และกลไกพรรคเป็นเครื่องมือในการขจัดคู่ต่อสู้ และในการควบคุมประชาชนพลเมือง โดยจำกัดสิทธิเสรีภาพยิ่งขึ้น เพิ่มการปิดกั้นสังคมจีนเพื่อไม่ให้รับความคิด ผลงานวิชาการต่างๆ จากต่างประเทศ โดยอยู่บนพื้นฐานแนวคิด หรือเชื่อว่า สิ่งเหล่านั้นจะบ่อนทำลายอำนาจของพรรคและของตนเอง ซึ่งเท่ากับเป็นการปิดกั้นมิให้คนจีนได้หูตาสว่าง และปิดกั้นความคิดอ่าน สร้างสรรค์ และประดิษฐ์คิดค้น เป็นการปิดกั้นและกดขี่แทนที่จะให้สังคมจีนได้ปรับตัว ปรับเปลี่ยน ให้ทันสมัย ทันโลกยิ่งๆ ขึ้น
จริงอยู่ที่ว่าประเทศจีนในวันนี้กำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด ซึ่งก็เป็นผลมาจากการปฏิวัติสังคมจีนทั้งสองหนในอดีตเป็นฐาน โดยคณะผู้นำในยุคนั้นจำเป็นต้องใช้อำนาจรวมศูนย์เพื่อขับเคลื่อนสังคมที่อ่อนแอทางด้านเศรษฐกิจ ที่เพิ่งฟื้นจากพิษสงครามกลางเมือง ให้สามารถฝ่าฟันแรงเสียดทานทางสังคมไปได้ แต่เมื่อในวันนี้เศรษฐกิจของจีนได้แข็งแกร่งแล้ว หากจะมีการปฏิรูปประเทศอีกครั้ง ก็น่าจะเป็นการปฏิรูปสังคมการเมืองจีนให้ก้าวไปสู่สังคมแห่งสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่การที่รัฐมุ่งกระชับอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ บนพื้นฐานความคิดทางด้านเสถียรภาพทางการเมืองของชนชั้นผู้ปกครองประเทศ อย่างที่เกิดขึ้นในสังคมจีนวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี