“แรงงานข้ามชาติ” หรือ “แรงงานต่างด้าว” เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในประเทศที่มีความเจริญมากในระดับหนึ่ง เช่นบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Country) พลเมืองท้องถิ่นเลือกที่จะไม่ทำงานบางประเภท จึงต้องจ้างแรงงานจากประเทศที่พัฒนาน้อยกว่ามาทำแทน อาทิ คนทำความสะอาด แรงงานภาคเกษตร คนงานก่อสร้าง แรงงานประมงดังจะเห็นว่ามีข่าวคนไทยไปเป็นแรงงานประเภทนี้ในต่างแดนทั้งที่ไปอย่างถูกและผิดกฎหมายอยู่เนื่องๆ
รวมถึงประเทศไทยที่แม้จะยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาแต่ก็อยู่ในกลุ่มรายได้สูง (High Income Developing Country) คนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ มีการศึกษาสูงขึ้น งานประเภทข้างต้นนั้นก็ไม่เป็นที่นิยม ผู้ประกอบการจึงต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา ซึ่งเมื่อมีแรงงานข้ามชาติหรือแรงงานต่างด้าว ย่อมต้องมีข้อคำนึงตามมาหลายประการ
เมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา มีการจัดงานแถลงข่าว “จัดเกรดนโยบายการย้ายถิ่นของรัฐบาลตู่รุ่งหรือร่วง” เนื่องในวันผู้ย้ายถิ่นสากล ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) อาคารมณียา ย่านชิดลม กรุงเทพฯ โดยมีคนทำงานภาคประชาสังคมมาบอกเล่าใน 4 เรื่อง อาทิ อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวถึงสถานการณ์แรงงานข้ามชาติในภาพรวม ว่า แม้ในปี 2561 รัฐบาลไทยจะประสบความสำเร็จในการนำแรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบตามกฎหมาย แต่ในปี 2562 พบว่านโยบายดังกล่าวไม่มั่นคงเท่าที่ควร
“ประเด็นสำคัญคือช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่มีความพร้อมในการต่ออายุแรงงานข้ามชาติที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค. 2563 สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเราพบว่ารัฐบาลมีนโยบาย 2 ส่วน 1.ยื่นทะเบียนออนไลน์ เราพบว่าระบบออนไลน์ในปัจจุบันค่อนข้างล้มเหลว ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากนัก ทำให้เกิดปัญหามากพอสมควรในการเข้าไปยื่นทะเบียน ซึ่งทำให้นายจ้างกังวลใจว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันกรอบนโยบายของรัฐบาลหรือไม่
2.ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ที่ตั้งโดยกระทรวงแรงงาน หลายพื้นที่ระบบล่มหรือไม่สามารถดำเนินการอะไรต่อได้ ทำให้หลายๆ พื้นที่มีการเลื่อนการดำเนินการออกไป โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังไม่สามารถตั้งศูนย์ได้ จะเปิดอีกทีเดือนม.ค. 2563 ทำให้ระยะเวลาที่มาดำเนินการจดทะเบียนหรือต่ออายุแรงงานข้ามชาติในช่วงที่เหลือค่อนข้างสั้นลง” อดิศร กล่าว
ประเด็นต่อมา ไทยค่อนข้างเป็นประเทศที่ “ใจดี” ต่อแรงงานข้ามชาติอยู่ไม่น้อย “ในขณะที่บางประเทศห้ามนำบุตรหลานติดตามเข้ามาอยู่ด้วย หรือหากตั้งครรภ์ต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทางทันที แต่ประเทศไทยไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว” อีกทั้งในเวลาต่อมา “คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. .... (การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย)” เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2548
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ที่รัฐบาลไทยไปลงนามรับรอง ซึ่งในข้อ 28 (ข้อย่อย 1) กำหนดให้รัฐภาคีต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กทุกคนไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสัญชาติของรัฐนั้นๆ ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม “เด็กทุกคนบนแผ่นดินไทยไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นคนไทยมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน”นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน ส.ค. 2562 ปรากฏข่าว “ปิดศูนย์การเรียนรู้ของเด็กชาวเมียนมา ที่ จ.ระนอง” พร้อมผลักดันครูจำนวน 32 คนกลับประเทศ เนื่องจากไม่มี
ใบอนุญาตทำงาน ซึ่ง ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว ผู้จัดการโครงการมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท กล่าวว่า แม้จะมีความพยายามย้ายบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติไปเรียนในโรงเรียนร่วมกับนักเรียนไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามีเด็กข้ามชาติเพียงราว 300 คนเท่านั้น ที่ได้เข้าไปเรียน ขณะที่อีกกว่า 2,000 คน ยังเข้าไม่ถึง ซึ่งการที่เด็กไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาอาจต้องเผชิญความเสี่ยงต่างๆ นานา
จึงเสนอแนะว่า “ภาครัฐของไทยควรหาช่องทางปรับสถานะและคุณภาพของศูนย์การเรียนรู้ของเด็กข้ามชาติโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เพราะนั่นหมายถึงการคุ้มครองเด็กด้วย” เพราะศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ไม่เป็นทางการ แต่เข้าถึงได้ง่ายและเหมาะสมกับบริบทของเด็กข้ามชาติ “สถานะของศูนย์ฯ ยังไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย ทำให้หลักสูตรที่ใช้ไม่ได้รับการรับรองไปด้วย” ส่งผลให้เด็กไม่สามารถใช้วุฒิการศึกษาในการทำงานและการเรียนต่อได้ทั้งในประเทศไทยและเมื่อกลับไปยังประเทศต้นทางแล้ว
ชูวงค์ แสงคง ผู้จัดการพันธกิจโครงการพิเศษ มูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย กล่าวถึงประเด็น“หลักประกันสุขภาพแรงงาน” โดยเปิดเผยถึงปัญหาที่พบหลายประการ เช่น 1.ขาดการติดตามว่าแรงงานทุกคนเข้าสู่ระบบประกันสังคมหรือไม่ หลังตรวจสุขภาพและได้ใบอนุญาตทำงานแล้ว 2.เข้าระบบประกันสังคมแล้วแต่ยังไม่ได้สิทธิในทันที การใช้สิทธิเจ็บป่วยต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า3 เดือน
3.บัตรประกันสุขภาพไม่ครอบคลุม เช่น อายุ 55 ปีขึ้นไปไม่ขาย หรือผู้ติดตามต้องซื้อทั้งครอบครัว หรือบางพื้นที่มีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน โดยฝ่ายสาธารณสุขต้องการให้แรงงานข้ามชาติทุกคนมีประกันสุขภาพ แต่ฝ่ายความมั่นคงบอกว่าไม่สามารถทำได้ “ควรมีกฎหมายที่กล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรง” ดีกว่าเป็นเพียงมติ ครม.ที่เจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่กล้าปฏิบัติตามเพราะลำดับศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)
นอกจากแรงงานข้ามชาติแล้ว “ผู้ลี้ภัย” ก็เป็นประชากรข้ามชาติอีกกลุ่มที่อยู่ในประเทศไทย ด้านหนึ่งไทยไม่มีกฎหมายว่าด้วยผู้ลี้ภัย แต่อีกด้านเมื่อทางการไทยจับกุมผู้ลี้ภัยในข้อหาลักลอบเข้าเมืองก็ไม่สามารถส่งตัวกลับได้เพราะขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่จะไม่ส่งตัวบุคคลกลับไปในที่ที่อาจได้รับอันตราย รวิสรา เปียขุนทดผู้แทนเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ ให้ความเห็นประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังร่างระเบียบการคัดกรองและบริหารจัดการประชากรผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
ซึ่งก็คาดหวังว่า เนื้อหาจะสอดคล้องกับนิยามของคำว่าผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และสนธิสัญญาระหว่างประเทศอื่นๆ ให้บุคคลทุกคนสามารถเข้าถึงกลไกการขอสถานะผู้ลี้ภัยอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เข้าถึงสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งโดยศาลที่เป็นอิสระ เข้าถึงการมีผู้แทนด้านกฎหมาย เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และประกันสุขภาพ เข้าถึงโอกาสในการศึกษา โอกาสในการทำงานและความช่วยเหลือในรูปแบบอื่นๆ
“จะมีหรือไม่มีกลไกคัดกรอง อย่างแรกความจริงคือยังคงมีผู้ลี้ภัยเดินทางเข้ามายังประเทศไทย มันเป็นข้อดีที่จะมีกลไกคัดกรอง อย่างแรกถ้าคนไทยมีความกังวลเรื่องภัยความมั่นคง ระบบนี้จะทำให้ทราบว่าเขาเข้ามาในประเทศไทยโดยวัตถุประสงค์อะไร ขอลี้ภัย มาทำงาน หรือมาด้วยวัตถุประสงค์อื่น” รวิสรา กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี