พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้แสดงท่าทีเกี่ยวกับการระดมผู้คนลงสู่ท้องถนนในลักษณะเดียวกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าจะต้องเลิกวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุงได้แล้ว เพราะจะเกิดความขัดแย้งและแตกความสามัคคีที่รุนแรงมากขึ้น
เป็นท่าทีที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกหลังจากก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่น่าวิตกกังวลเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
นั่นคือปรากฏการณ์ที่ชัดเจนว่ามีการดำเนินการหลายประการที่จะทำให้ประชาชนแตกแยกเป็นสองขั้ว ในลักษณะที่เกลียดชังกันอย่างรุนแรงถึงขั้นอาจจะฆ่ากันได้แบบเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ซึ่งยังเป็นแผลใหญ่ตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้
เมื่อครั้งยึดอำนาจการปกครองวันที่ 22 พฤษภาคม2557 ได้มีการแสดงเหตุผลว่ามีความขัดแย้งในบ้านเมืองในลักษณะสองขั้ว คือ ขั้วของระบอบทักษิณและขั้วที่ไม่เอาระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะใช้ชื่อพันธมิตรหรือ กปปส. หรือชื่ออื่นใดก็ตาม เป็นความขัดแย้งที่จะกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องยึดอำนาจ
หลังจากยึดอำนาจแล้วก็มีความเห็นที่ปรากฏอย่างชัดเจนว่าแกนนำประชาชนทั้งสองขั้วนั้นได้ทำผิดกฎหมาย สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง จึงมีการดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งกับแกนนำทั้งสองฝ่าย เป็นคดีความมากมายหลายคดี ซึ่งถึงปัจจุบันนี้คดีทั้งหมดก็ยังไม่เสร็จสิ้น แต่ทำให้ทรัพยากรบุคคลของบ้านเมืองกลายเป็นคนบอบช้ำด้วยอรรถคดี ทั้งๆ ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดๆ กับบ้านเมืองเลย
ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ในอดีตก็จะมีการนิรโทษกรรมให้ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ชีวิตตามปกติต่อไปเพื่อเป็นกำลังของชาติบ้านเมืองต่อไปได้ แต่เมื่อคดีความยังต้องดำเนินต่อไป บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องก็ยังต้องถูกตรึงไว้กับความเป็นฝักเป็นฝ่ายนั้น และทำให้ความขัดแย้งไม่อาจสิ้นสุดยุติลงได้
จากสภาพตาอยู่ช่วยแก้ไขการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างตาอินกับตานา โดยแบ่งหัวปลา หางปลาให้ตาอินตานาเอาไปกิน ส่วนตาอยู่ได้พุงปลาอันเป็นส่วนดีที่สุดไว้ ก็กลายเป็นว่าตาอยู่ฆ่าทั้งตาอินและตานาและเอาปลาทั้งหมดไปกิน จนกระทั่งมีการจัดตั้งรัฐบาลหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว
บรรดาผู้คนที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งก็ได้ถูกดึงเข้าไปร่วมกับรัฐบาลใหม่ ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งที่เคยเป็นคู่ความขัดแย้งกันมาและคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเกิด
ก่อตัวขึ้นมาตามวันเวลาและสถานการณ์ของบ้านเมืองก็ไปรวมกันกลายเป็นอีกขั้วการเมืองหนึ่ง
นั่นคือขั้วของตาอยู่ ซึ่งบัดนี้ได้เป็นคู่ความขัดแย้งเต็มตัวแล้ว กับขั้วของตาอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นขั้วใหม่ขึ้นมาและเป็นที่รวมตัวของคนทั้งหลายที่ไม่เอาด้วยกับขั้วตาอยู่
ขั้วการเมืองทั้งสองขั้วนี้จึงเป็นขั้วหลักของความขัดแย้งในบ้านเมืองปัจจุบัน และเผชิญหน้ากันทุกรูปแบบ โดยฝ่ายหนึ่งใช้กลไกอำนาจรัฐและอำนาจทั้งหลายในการต่อสู้กับอีกขั้วหนึ่ง ในขณะที่อีกขั้วหนึ่งก็ใช้สถานการณ์ใหม่ของโลกปัจจุบันระดมผู้คนเข้ามาเพื่อทำการต่อสู้กับอีกขั้วหนึ่ง จึงทำให้เกิดสภาพความขัดแย้งระหว่างวัย ระหว่างยุคสมัย ในสถานการณ์ใหม่ คือสถานการณ์ที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญมากที่สุดในทางการเมืองและสังคมปัจจุบัน
ขั้วใหม่ถูกขับไล่ออกจากสภา และถูกข้อกล่าวหาสารพัด รวมทั้งถูกขับไล่ไสส่งไม่ให้อยู่ในประเทศไทย ในขณะที่กฎหมายที่เอามาใช้บังคับกับคนกลุ่มนี้กลับไม่ถูกใช้บังคับกับกลุ่มอื่นๆ และล่าสุดก็มีการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงขึ้น ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็จัดกิจกรรมเดินเชียร์ลุงขึ้น ซึ่งใครเป็นคนจัดและใช้เงินทองจากที่ไหน เห็นจะไม่ต้องบอกกล่าวในที่นี้
พื้นที่จัดกิจกรรมในครั้งนี้และการเคลื่อนไหวของความขัดแย้งในครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งเหตุการณ์6 ตุลา อย่างสิ้นเชิง
ประการแรก ความขัดแย้งในยุค 6 ตุลานั้น เป็นความขัดแย้งในสถานการณ์ที่ทั่วประเทศกำลังต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่ศูนย์กลางความเคลื่อนไหวกลับอยู่ที่วงแคบๆ คือในพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพื้นที่กรุงเทพมหานคร และคู่ของความขัดแย้งก็คือกองทัพกับมวลชน
ประการที่สอง ความขัดแย้งในยุค 6 ตุลานั้น ศูนย์กลางความเคลื่อนไหวที่เผชิญกับอำนาจรัฐแสดงนำโดยนักศึกษาที่อายุเฉลี่ยไม่ถึง 20 ปี ในขณะที่ศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายหนึ่งคือกลไกรัฐที่ทำงานมวลชนอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีทั้งอาวุธ เงิน มวลชน และสื่อมากมาย
ประการที่สาม เป็นความขัดแย้งในสภาพที่ชาติมหาอำนาจอ่อนกำลัง เพราะเพิ่งล่าถอยออกจากภูมิภาคนี้หลังจากสิ้นสุดสงครามเวียดนาม ในขณะที่มหาอำนาจอื่นก็อ่อนแรงลงเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นความขัดแย้งในขอบเขตที่จำกัดภายในประเทศไทยเป็นหลัก
ประการที่สี่ ความขัดแย้งในครั้งนี้ขยายตัวลุกลามยิ่งกว่าครั้ง 6 ตุลา มากมาย พื้นที่การเคลื่อนไหวซึมลึกถึงมวลชนอย่างกว้างขวางทั่วประเทศและซึมลึกลงไปในหมู่เยาวชนและคนรุ่นใหม่ทั่วทั้งประเทศ เกิดภาพลักษณ์ความขัดแย้งระหว่างรุ่น ระหว่างวัย ในภาพรวมก็คือความขัดแย้งของคนรุ่นใหม่คนหนุ่มกับคนแก่
ประการที่ห้า เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสภาพที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาภัยธรรมชาติ ปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปัญหาจากระบบราชการที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยเฉพาะเป็นห้วงเวลาที่มหาอำนาจทั้งหลายแข่งขันกันเข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทยอย่างรุนแรง ในท่ามกลางความแตกแยกที่ลุกลามเข้าไปถึงหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน แม้กระทั่งหน่วยงานด้านความมั่นคง
ดังนั้นความคิดใดๆ ที่จะใช้เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้ ซึ่งภารกิจแรกสุดก็คือต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อนว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้คืออะไร มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้
ดังนั้นท่าทีของแกนนำรัฐบาลล่าสุดที่ต้องหยุดการวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุง จึงเป็นท่าทีที่ถูกต้องเป็นครั้งแรกในการขยายและหยุดยั้งความขัดแย้งในประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี