สถานการณ์ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เป็นปัญหาร้ายแรง เข้าขั้นพิบัติภัยที่มีอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
ช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. จะเป็นช่วงที่มีปัญหาหนักสุด เป็นประจำ
มากกว่าช่วงเดือนอื่นๆ ของปี
ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน
เราจึงเห็นมาตรการเข้มข้นออกมาในช่วงนี้ มากกว่าช่วงอื่นๆ ของปี โดยมีการบังคับใช้ “12 มาตรการแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างเร่งด่วน” เช่น มาตรการจำกัดรถบรรทุก มาตรการตรวจควันดำรถ มาตรการห้ามเผาในที่โล่ง มาตรการควบคุมการเผาไหม้ของโรงงานอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ฯลฯ
ขณะนี้ ชาวบ้านชาวช่องเดือดร้อนกันไปทั่ว หลายคนด่ารัฐบาลว่าไม่เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา ทอดทิ้งประชาชนให้เดือดร้อน รัฐบาลมีความชอบธรรมสูงมากที่จะใช้มาตรการเข้มข้นที่มีความต่อเนื่อง ขอสนับสนุนให้ใช้มาตรการตามแผนแก้ปัญหาเต็มรูปแบบ และขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อการแก้ปัญหานั้นด้วย เพราะนี่คือปัญหาที่จะแก้ไม่ได้เลย ถ้าทุกฝ่ายไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง
1. อันที่จริง เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562คณะรัฐมนตรีมีมติให้ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง”เป็นวาระแห่งชาติ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง”
และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการดําเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศ และในพื้นที่วิกฤติ
จากการสืบค้นรายละเอียด ทราบว่า มีข้อมูล น่าสนใจ
2. ข้อมูลที่น่าสนใจ หลายคนอาจไม่ทราบ เช่น
2.1 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีแหล่งกําเนิดมาจาก ยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การเผาในที่โล่ง (การเผาวัสดุการเกษตร การเกิดไฟป่า การเผาขยะกิ่งไม้ใบไม้) โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
กทม. ค่าฝุ่นจะหนักมากที่สุด ในช่วงเดือนธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ (ตามแผนภาพข้อมูลย้อนหลัง 4 ปี)
พื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ จะหนักหน่วงช่วงหน้าแล้งตั้งแต่ต้นปี ถึงเมษายนที่มีการเผาในที่โล่ง (การเผาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย จากเมียนมา ลาว กัมพูชา ตามลำดับ)
ส่วนภาคใต้ มักจะได้รับผลกระทบในช่วงกลางปีระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน จากการเผาป่าพรุบนเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านประเทศไทยจะพัดเอาหมอกควันเข้ามา
2.2 ในแผนฯ มีการระบุกันถึงรายละเอียดเชิงพื้นที่ที่มีสถานการณ์ปัญหาหนักหน่วง ที่มาแตกต่างกันออกไป สะท้อนว่ารู้แล้วว่าแต่จะพื้นที่มีสภาพและสาเหตุของปัญหาอย่างไรบ้าง เช่น
• พื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ
• พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
• พื้นที่ประสบปัญหาหมอกควันภาคใต้
• พื้นที่ตําบลหน้าพระลาน อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี
• พื้นที่จังหวัดอื่นที่เสี่ยงปัญหาฝุ่นละออง เช่น จังหวัดขอนแก่น จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
มีแผนและแนวทางปฏิบัติการ ทั้งช่วงก่อนวิกฤติ ช่วงระหว่างเกิดสถานการณ์วิกฤติ (กําหนดให้มีโครงสร้าง/กลไกการบริหารจัดการ แผนเผชิญเหตุ/มาตรการตอบโต้สถานการณ์ที่จะดําเนินการในแต่ละช่วงระดับของฝุ่นละออง หรือ AQI) และช่วงหลังวิกฤติ
ที่ผ่านมา แต่ละพื้นที่ได้มีแอ๊กชั่น มีการลงมือปฏิบัติจริงอย่างไรบ้าง แล้วมีการสื่อสารกับประชาชนให้ตระหนักรู้มากน้อยแค่ไหน มีใครบกพร่อง ละเลย หรือไม่? การปฏิบัติเพียงพอหรือยัง? จะต้องเพิ่มเติมปรับแก้แนวปฏิบัติตามแผนหรือไม่? อย่างไร?
2.3 ประการสำคัญ ในแผนฯ มีแนวทางการดําเนินงานในภาพรวมของประเทศ ในการควบคุมและลดมลพิษจากแหล่งกําเนิดแต่ละประเภทเสร็จสรรพ
มีทั้งมาตรการระยะสั้น (พ.ศ. 2562 - 2564) และมาตรการระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2567)
ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมและลดมลพิษจากยานพาหนะ,ควบคุมและลดมลพิษจากการเผาในที่โล่ง/ภาคการเกษตร, ควบคุมและลดมลพิษจากการก่อสร้างและผังเมือง, ควบคุมและลดมลพิษจากภาคครัวเรือน หรือแม้แต่มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ที่เป็นการพัฒนาระบบ เครื่องมือ กลไกในการบริหารจัดการ ฯลฯ
วันพรุ่งนี้ มาดูรายละเอียด และพิจารณากันดูว่า แก้ผิดทาง ผิดแผน หรือแผนผิด หรือใครละเว้น ละเลย?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี