คณะรัฐมนตรี มีมติให้ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ 12 ก.พ.2562
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการดําเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศ และในพื้นที่วิกฤติ ตั้งแต่ 15 ส.ค.2562
ในแผนฯ มีแนวทางการดําเนินงานในภาพรวมของประเทศ ในการควบคุมและลดมลพิษจากแหล่งกําเนิดแต่ละประเภทเสร็จสรรพ ใครจะต้องทำอะไร แค่ไหนอย่างไร
มีทั้งมาตรการระยะสั้น (พ.ศ. 2562 - 2564) และมาตรการระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2567)
ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ แก้ปัญหาผิดทาง ผิดแผน หรือแผนผิด หรือใครละเว้นละเลย? เพราะอะไร?
จะต้องปรับที่แผนให้เข้มข้นแม่นยำขึ้น? หรือปรับที่คนให้เด็ดขาด เอาจริงมากขึ้น?
แนวทางที่ปรากฏชัดเจนในแผนฯ อยู่แล้ว เช่น
1. ควบคุมและลดมลพิษจากยานพาหนะ
“...มาตรการระยะสั้น (พ.ศ. 2562 - 2564) ประกอบด้วย ให้ใช้มาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้มีการนําน้ำมันเชื้อเพลิงมีกํามะถันไม่เกิน 10 ppm มาจําหน่ายก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้บังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ Euro 5 ภายในปี 2564 ให้เร่งรัดให้มีการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะ ทั้งระบบหลักและระบบรองให้มีประสิทธิภาพ ปลอดมลพิษ และ
อํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ เพิ่มความเข้มงวดมาตรฐานและวิธีการตรวจวัดการระบายมลพิษจากรถยนต์ ปรับลดอายุรถที่จะต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถประจําปีพัฒนาระบบการตรวจสภาพรถยนต์ให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลผลการตรวจสภาพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มทางเลือกในการเดินทางสัญจรให้ประชาชนที่สะดวกและปลอดภัย เช่น ทางจักรยาน ทางเดินเท้าที่สะดวกและปลอดภัย เป็นต้น การศึกษาความเหมาะสมในการจํากัดอายุการใช้งานรถยนต์ รวมถึงระบบการจัดการซากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน การจัดการคมนาคมขนส่งด้าน Demand Side Management ให้ควบคุมการนํารถยนต์ใช้แล้วในต่างประเทศ (ใช้ส่วนตัว) เข้ามาในประเทศ การควบคุมการนําเข้าเครื่องยนต์เก่าใช้แล้ว (ทั้งรถและเรือ) โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานการระบายมลพิษสําหรับรถผลิตใหม่ที่ประเทศไทยบังคับใช้อยู่ ณ เวลาที่นําเข้า และต้องมีอายุไม่เกิน 5 ปี ใช้มาตรการจูงใจเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ให้กําหนดพื้นที่และมาตรการในการจํากัดจํานวนรถเข้าในเขตใจกลางเมืองให้มีการซื้อทดแทนรถราชการเก่าด้วยรถยนต์ไฟฟ้า
มาตรการระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2567) ประกอบด้วย ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีกํามะถันไม่เกิน 10 ppm ให้แล้วเสร็จภายในปีพ.ศ. 2566 และบังคับใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีกํามะถันไม่เกิน 10 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป บังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ Euro 6 ภายในปี2565 ใช้มาตรการจูงใจเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การเชื่อมโยงโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะทั้งระบบหลัก และระบบรองให้มีประสิทธิภาพ ปลอดมลพิษ และอํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ เปลี่ยนรถโดยสารประจําทางของ ขสมก. ทั้งหมดให้เป็นรถที่มีมลพิษต่ำ(รถไฟฟ้า/NGV/มาตรฐาน Euro VI) การจัดการคมนาคมขนส่งด้าน Demand Side Management เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงบริการของประชาชนผู้ใช้บริการ ปรับปรุง/แก้ไขการเก็บภาษีประจําปีสําหรับรถยนต์ใช้งาน การควบคุมการระบายฝุ่นจากการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือและจากเรือสู่เรือ การพิจารณาการย้ายท่าเรือคลองเตย ออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร การห้ามนําเข้าเครื่องยนต์ใช้แล้วทุกประเภท การซื้อทดแทนรถราชการเก่าด้วยรถยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริม/สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ การควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศจาก Non-road Engine…”
จะเห็นแนวทางในแผนฯ ครบเครื่อง ครบครันมาก บนเวทีวิชาการ ในรายการทีวี ในแฟนเพจนักคิดวิเคราะห์ที่ไหน ก็พูดไม่พ้นไปจากมาตรการเหล่านี้เพียงแต่ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการไปแค่ไหน อย่างไร และที่สำคัญ สังคมพร้อมสนับสนุนการดำเนินการหรือไม่? เพราะจะต้องกระทบวิถีชีวิตการเดินทางแบบเดิมๆ แน่นอน
2 ควบคุมและลดมลพิษจากการเผาในที่โล่ง/ภาคการเกษตร
“...มาตรการระยะสั้น (พ.ศ. 2562 - 2564) ประกอบด้วย ส่งเสริมให้มีการจัดการเศษวัสดุทางการทําเกษตร โดยการนํามาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการเผาในที่โล่ง ห้ามไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ชุมชน ริมทาง และเผาขยะโดยเด็ดขาด การเพิ่มประสิทธิภาพของท้องถิ่นในการจัดการขยะมูลฝอย ยกระดับการป้องกันไฟป่าและจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้มาตรการทางสังคมกับผู้ลักลอบเผาป่า กําหนด
มาตรการทางกฎหมายโดยการออกระเบียบกําหนดให้โรงงานน้ําตาลรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกินร้อยละ 20 ต่อวัน ภายในปี 2564 กําหนดมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ กําหนดพื้นที่ปลอดการเผาอ้อยเพื่อเป็นจังหวัดต้นแบบปลอดการเผาอ้อย ร้อยละ 100 จํานวน 5 จังหวัดในปี2563 ส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ที่มีการเผา การเพิ่มประสิทธิภาพของท้องถิ่นในการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อไม่ให้มีการกําจัดโดยการเผา ควบคุมเตาเผามูลฝอยติดเชื้อของสถานพยาบาลเพื่อไม่ให้มีการกําจัดโดยการเผาในที่โล่ง
มาตรการระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2567) ประกอบด้วย ให้มีการกําหนดระเบียบหรือแนวปฏิบัติในการจัดการเศษวัสดุจากการทําเกษตรประเภทต่างๆ โดยให้มีการนํามาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้มีการเผาในที่โล่ง ห้ามไม่ให้มีการเผาในที่โล่งและเผาขยะโดยเด็ดขาด ให้มีการพิจารณาการพัฒนาระบบหรือยกระดับโดยผนวกมิติด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไปในกระบวนการกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร :การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีหรือมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารสําหรับพืชเกษตรที่มักมีการเผาวัสดุการเกษตรก่อนหรือหลังการเก็บเกี่ยวให้มีความเข้มงวดขึ้น ใช้มาตรการหรือกลไกทางเศรษฐศาสตร์หรือมาตรการทางสังคมผลักดันให้เกิดแนวทางรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานทางการเกษตร การใช้มาตรการทางสังคมกับผู้ลักลอบเผาป่า การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ที่มีการเผา กําหนดมาตรการทางกฎหมายโดยการออกระเบียบ กําหนดให้โรงงานน้ำตาลรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกินร้อยละ 0 - 5 ต่อวัน ภายในปี2565 เพื่อให้อ้อยไฟไหม้หมดไปภายในปี 2565 ป้องกันไฟป่าและจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพของท้องถิ่นในการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อไม่ให้มีการกําจัดโดยการเผา ควบคุมเตาเผามูลฝอยติดเชื้อของสถานพยาบาลเพื่อไม่ให้มีการกําจัดโดยการเผาในที่โล่ง กําหนดแนวทางการจัดการปุ๋ยไนโตรเจน รวมถึงปรับปรุงการจัดการมูลสัตว์ในภาคปศุสัตว์…”
จะเห็นแนวทางในแผนฯ ครบเครื่อง ครบครันเช่นกัน แต่ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการไปแค่ไหน อย่างไร และที่สำคัญ สังคมพร้อมสนับสนุนการดำเนินการอย่างเต็มที่หรือไม่? เพราะจะต้องกระทบวิถีการผลิตการเกษตรแบบเดิมๆ แน่นอน
3. ควบคุมและลดมลพิษจากการก่อสร้างและผังเมือง, ควบคุมและลดมลพิษจากอุตสาหกรรม รวมทั้งควบคุมและลดมลพิษจากภาคครัวเรือน
ทั้งหมด ก็มีทั้งมาตรการระยะสั้น (พ.ศ. 2562 - 2564) และมาตรการระยะยาว(พ.ศ. 2565 - 2567) โดยเป็นการดําเนินงานต่อเนื่อง มีรายละเอียดมากมาย
ยิ่งกว่านั้น ยังมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ เป็นการพัฒนาระบบ เครื่องมือ กลไกในการบริหารจัดการ รวมถึงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจและกําหนดแนวทางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคตอีกด้วย
4. ต้องเลิกฟุ้งฝอย-ต่อต้าน เริ่มลงมือทำร่วมกัน
ทั้งหมด อยู่ในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2562 แล้ว เพราะฉะนั้น ปัญหาฝุ่นจิ๋วในวันนี้ จึงไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไร? แต่จะต้องถามเสียก่อนว่า ได้ทำตามแผนปฏิบัติการที่มีอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหน อย่างไร ติดขัดอะไร เพราะอะไร จะปรับแก้เพิ่มเติมอย่างไร?
ปัญหาฝุ่นจิ๋วที่มันยังฟุ้งทำลายสุขภาพคนไทย ตายผ่อนส่งกันอยู่ในวันนี้พูดกันตามตรง มันอาจเป็นกรรมของประเทศไทยเราเอง ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ชอบฟุ้งฝอย แต่ไม่ชอบลงมือทำ และคนจำนวนมากในสังคมก็ชอบโวยวาย แต่ไม่ยอมที่จะลงมือเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่คุ้นเคย จะทำอะไรก็ต่อต้าน ด่ากันไว้ก่อน ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
ถึงเวลาที่พวกเรา ทุกฝ่าย ทุกคน ต้องตื่นขึ้นมาร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ร่วมรับภาระจากมาตรการ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋วกันอย่างจริงจัง มิฉะนั้น ก็ต้องตกอยู่ในภาวะแบบนี้ไปตลอดชาติ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี