สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำบางส่วนจากงานสัมมนา “เวทีสานพลังสูงวัยสร้างเมือง” ที่ รร.ดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ เมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค. 2563 มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ซึ่งแม้ชื่องานจะมีคำว่าสูงวัยอันมีที่มาจากโครงสร้างประชากรไทยที่สัดส่วนผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ข้อมูลของ สภาพัฒน์- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2564 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ที่มีประชากรวัยเกษียณอยู่ที่ร้อยละ 20 ไม่เพียงเท่านั้นยังมีปัญหาอื่นเข้ามาเพิ่มความซับซ้อนด้วยด้วย
“ผู้สูงอายุไม่ใช่เป็นเพียงประชากรกลุ่มเดียวที่อยู่ในสังคม แต่ปรากฏว่าในยุคปัจจุบันนี้มีคนหลายเจเนอเรชั่น (Generation-ช่วงวัย) ท่านจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเจเนอเรชั่นแรกคือเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer : เกิดปี 2486-2503) คนเจเนอเรชั่นนี้จะทุ่มเทกับการทำงานเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่อยู่ร่วมในสังคมกับเราคือเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ (Generation X : เกิดปี 2504-2524) เจเนอเรชั่นนี้
เป็นคนไม่ชอบความเป็นทางการ ถ้าพูดง่ายๆ เริ่มอยู่ในวัยทำงาน
เจเนอเรชั่นวาย (Generation Y : เกิดปี 2525-2548) คนกลุ่มนี้เป็นคนที่คิดเริ่มสร้างสรรค์ ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน และเจเนอเรชั่นใหม่คือเจเนอเรชั่นแซด (Generation Z : เกิดปี 2549-ปัจจุบัน) พวกนี้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี รูดปี๊ดๆ ไถๆ สังคมก้มหน้า ท่านลองคิดดู ผู้สูงอายุเยอะ 20 กว่า (ร้อยละ) ในขณะที่คนกลุ่มที่เหลือมีความแตกต่างเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งที่เห็นคือแล้วคนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร)”
ผศ.ดร.พจนา พิชิตปัจจา รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงภาวะที่นอกจากจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อันหมายถึงมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 10 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังมีปัญหา “ช่องว่างระหว่างวัย” สังคมมีคนหลายวัยที่ต่างเติบโตมาในบริบทแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน จึงเกิดความไม่เข้าใจกันอยู่เนืองๆ อีกต่างหาก
เมื่อประกอบกับ “สถานการณ์ด้านแรงงาน” รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือจักรกลอัจฉริยะมาใช้แทนแรงงานคนมากขึ้น “สำหรับในประเทศไทย มีการพยากรณ์ว่าช่วงปี 2559-2573 ตำแหน่งงานร้อยละ 40 จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าว” ทำให้ผู้คนในสังคมสมัยใหม่จะมีชีวิตคือเกิด เรียนรู้ ทำงาน แล้วก็ต้องกลับไปเรียนรู้เพื่อปรับให้เข้ากับตำแหน่งงานใหม่ๆ ดังนั้นพื้นที่ที่เรียกว่า “นิเวศการเรียนรู้” จึงมีความจำเป็น
นิเวศการเรียนรู้หมายถึงการปรับสภาพแวดล้อมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางสังคม ชุมชน ครอบครัว เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องได้รับการสนับสนุนจาก 3 หน่วยงาน คือ 1.กระทรวงมหาดไทย ควรกำหนดให้การจัดทำพื้นที่แห่งการเรียนรู้เป็นหนึ่งในเกณฑ์การประเมินผลของ อปท. “พื้นที่แห่งการเรียนรู้จะเป็นพื้นที่ของคนทุกวัย” ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น
“เราเรียนรู้จากลูกหลานในเรื่องของเทคโนโลยีลูกหลานเรียนรู้จากเราในเรื่องของภูมิปัญญา เพื่อนเรียนรู้จากเพื่อนในเรื่องของการส่งเสริมอาชีพ เราประสบปัญหาใช่ไหมว่าเราไม่รู้อยากจะทำอาชีพอะไรดี มีอาชีพเสริมอะไรดี เลยมีปัญหาเรื่องการออม เรื่องหนี้สิน แต่ถ้าเรามีพื้นเล็กๆ พูดคุยกัน เพื่อนอาจจะบอกเราได้ว่าทำอันนี้ก็ดีนะเหมาะกับเธอดี ไม่เป็นทางการแต่ได้ผล” อาจารย์พจนา กล่าว
หน่วยงานต่อมา 2.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าไปช่วย อปท. พัฒนาหลักสูตร รวมถึงมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นก็สามารถเข้าไปช่วยพัฒนานวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาให้ชุมชนได้ และ 3.สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอกชนด้านโทรคมนาคมจัดพื้นที่เรียนรู้บนโลกออนไลน์ร่วมกับท้องถิ่น
“ถ้าสมัยก่อนยังไม่มีสื่อสังคมออนไลน์ เราจะเรียกว่า สื่อวิทยุ อาจจะมองไม่เห็นแต่ฟังได้เรียนรู้ได้ ดังนั้นวิทยุออนไลน์หรือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันคือพ็อดแคสต์ (Podcast) ก็จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ติดบ้าน รวมถึงยังช่วยผู้ดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ติดบ้านด้วยให้ได้เรียนรู้ไปพร้อมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จุดใดของชุมชน ท่านสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้” อาจารย์พจนา ยกตัวอย่างการสร้างพื้นที่เรียนรู้ด้วยสื่อใหม่
อีกด้านหนึ่ง ไกรวุฒิ ใจคำปัน อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่สรุปผลจากการพูดคุยกันของผู้นำชุมชนต่างๆ ในภาคเหนือเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาครั้งนี้ โดยกล่าวถึงบทบาทของ อปท. หลายแห่งที่พยายามสร้างความตระหนักเรื่อง “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” โดยพูดคุยกับทั้งผู้สูงอายุและครอบครัว “หลายคน-หลายครอบครัวเห็นความสำคัญของการมีและการเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนผู้สูงอายุ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่รับอะไรเลย” เรื่องนี้ก็ต้องว่าด้วยความพยายามต่อไปในระยะยาว
ขณะเดียวกัน หลายชุมชนมีการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้แต่คำถามคือแหล่งเรียนรู้นั้นมีความยั่งยืนเพียงใด เช่น บางแห่งมีวิทยากรเพียงคนเดียว หากติดภารกิจอื่นไม่สามารถมารับหน้าที่บรรยายได้แหล่งเรียนรู้ก็ต้องหยุดให้บริการ หรือกรณีโรงเรียนผู้สูงอายุ พบปัญหาหลักสูตรมีความซ้ำซ้อนวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆ บ้าง ออกแบบหลักสูตรเป็นวิชาการเกินไปจนไม่น่าสนใจบ้าง เป็นต้น
“การสนับสนุนหรือพัฒนาความต่อเนื่องของแหล่งเรียนรู้ หมายความว่าพอตั้งขึ้นมาไม่ใช่ว่าปล่อยให้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งในการคงสภาพแหล่งเรียนรู้ให้มันเป็นแหล่งเรียนรู้ ที่เหนือไปกว่านั้นคือต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สร้างรายได้ให้กับคนที่เข้ามาอยู่ในนั้นหรือคนที่เข้ามาเยี่ยมชมด้วย ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายในเชิงนโยบายจะทำอย่างไรให้ อปท. ทำตรงนี้ได้โดยไม่มีปัญหากับหน่วยงานที่มาตรวจสอบ อีกอันที่อาจจะสุดโต่งไปนิด คือการยกระดับโรงเรียนผู้สูงอายุให้มีตัวตนด้านกฎหมาย คือมีโครงสร้างคล้ายๆ โรงเรียนสามัญทั่วไป” อาจารย์ไกรวุฒิ ระบุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี