ช่วงอู่ฮั่น COVID-19 ขยายอย่างมาก คนไทยทุกๆ คนส่งกำลังใจไปยังชาวอู่ฮั่น และชาวจีน บัดนี้ไม่ถึง 3 เดือน สถานการณ์ในอู่ฮั่นดีขึ้น รัฐบาลจีนส่งความปรารถนาดี พร้อมส่งความช่วยเหลือด้านการแพทย์มายังประเทศไทย และหลายๆ ประเทศ เช่น อิตาลี สเปน แม้กระทั่งประเทศกัมพูชา
วันนี้ ผมก็เลยนำ 3 เรื่องมาโยงกัน ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
เรื่องแรกคือ เรื่องการแพทย์ หรือการรักษาพยาบาล ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณหมอสุธรรม ปิ่นเจริญ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมนับถือและเคารพรักอย่างยิ่ง ได้ทำงานร่วมกับคุณหมอสุธรรมหลายเรื่องด้วยกัน
คุณหมอเป็นตัวอย่างของบุคลากรทางการแพทย์ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาคณะแพทย์และโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ให้สมกับพระราชปณิธานของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก “ขอถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สองประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”
จากการสัมภาษณ์คุณหมอได้เห็นว่าระบบการแพทย์ต้องเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลาที่จะเผชิญกับโรคระบาด ซึ่งคุณหมอเล่าว่าท่านเคยผ่านโรคระบาดเช่น โรคซาร์สมาแล้ว
ยุทธศาสตร์ป้องกันโรคซาร์ส 3 เรื่องคือ
1. ดูแลผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยให้ปลอดภัย
2. ดูแลบุคลากรของโรงพยาบาลให้ปลอดภัย
3. ดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย
การรักษานั้นสำคัญที่ผู้ป่วยต้องสร้างความปลอดภัยให้บุคลากรของเราและสิ่งแวดล้อม การดูแลบุคลากรทางการแพทย์นั้นต้องสร้างความเข้าใจกันทุกคนทุกฝ่ายทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายจัดการ และฝ่ายวางแผน รวมทั้งประชาชนด้วย ในโรงพยาบาลต้องฝึกขั้นตอนการทำงานทุกขั้นตอน ต้องมีมาตรฐานการทำงานซึ่งป้องกันการแพร่เชื้อทุกๆ ขั้นตอน ป้องกันโอกาสที่จะผิดพลาดสูง เพราะ (1) เจ้าหน้าที่คุ้นเคยกับการปฏิบัติแบบเก่า (2) อาจจะมีเครื่องมือไม่พอหรือมีงานที่ล้นมากเกินไป ระบบการทำงานตามมาตรฐานที่ดี คือขณะที่ดูแลผู้ป่วยต้องจัดเจ้าหน้าที่ 1 คนคอยยืนดูอยู่โดยไม่สัมผัสผู้ป่วย ไม่สัมผัสเจ้าหน้าที่ด้วยกัน แต่คอยเช็คว่ามีโอกาสที่เชื้อจะหลุดไปทางไหนบ้าง และแก้ไขโดยทันที
จากประสบการณ์ของคุณหมอสุธรรมเรื่องซาร์สมาถึงโควิด-19 ปัจจุบัน หากไม่เตรียมตัวทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น ห้อง ICU หน้ากาก เครื่องช่วยหายใจ ถ้าโรคระบาด ขยายตัวรวดเร็ว ระบบการรักษาพยาบาลจะไม่สามารถรองรับได้ เพราะโรงพยาบาลตามปกติเต็มอยู่แล้ว เช่น โรงพยาบาล ม.อ.ยังต้องดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บจากการก่อการร้าย 3 จังหวัดภาคใต้ด้วย จึงต้องการขวัญและกำลังใจมาก
ฉะนั้น ถ้าไม่ระวัง จำนวนผู้ป่วยติดโรคระบาดเพิ่มขึ้นอย่างเร็ว ระบบสาธารณสุขก็รองรับไม่ได้เช่น ประเทศอิตาลี หรือนิวยอร์กในปัจจุบัน การเตรียมการไว้ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งคุณหมอก็ได้ผ่านเรื่องเหล่านี้มาแล้ว ผมจึงชื่นชมและเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์อย่างยิ่ง
การแพทย์กับการเมืองเรื่องโรคระบาดในประเทศไทยไม่มีปัญหามากนัก เพราะผู้นำของเราอย่างท่านนายกฯประยุทธ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คุณอนุทินชาญวีรกูล ให้เกียรติและรับฟังคณะแพทย์กระทรวงสาธารณสุขอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีการขัดแย้งกัน ช่วยทำงานกันได้ดี ท่านนายกฯ ฟังฝ่ายแพทย์ตลอดเวลา
ถ้าจะมีปัญหาอยู่บ้างก็อาจจะเป็นเรื่องของนักการเมืองฝ่ายค้านที่อาจจะฉวยโอกาสโจมตีการทำงานของรัฐบาล เช่น ต้องการเปิดสภาฯ เพื่อหารือเรื่อง COVID-19 ซึ่งปัจจุบันฝ่ายค้านก็ค่อยๆ เห็นการทำงานร่วมมือกับทุกส่วนทุกฝ่าย การเมืองในไทยจึงไม่เป็นอุปสรรค
อุปสรรคที่นายกฯ ประยุทธ์ควรระวังคือ อย่าให้มีคำครหาเช่นที่ปรึกษานักการเมืองมีผลประโยชน์แอบแฝงในการขายสินค้าทางการแพทย์เกินราคา ซึ่งปัจจุบันมีการตรวจสอบกันอยู่ ท่านนายกฯประยุทธ์จึงต้องระวัง
ตัวอย่างของการขัดแย้งกันระหว่างการเมืองกับการแพทย์น่าจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา คือประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นบุคคลที่ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว เวลาแถลงข่าว จะเน้นแต่เรื่องคะแนนเสียงและผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น ตลาดหุ้นมากกว่าเรื่องสุขภาพของคนอเมริกัน จึงไม่เชื่อที่ฝ่ายการแพทย์เน้นเรื่องการห้ามชาวอเมริกัน ทำงานและใช้นโยบาย Social Distancing (ห่างทางสังคม)
ทรัมป์พูดว่าวิธีเช่นนี้ทำให้มีปัญหาทางเศรษฐกิจมาก จึงเสนอให้เปิดประเทศภายใน 3 สัปดาห์จากนี้ แต่คุณหมอแอนโทนี เฟาอซี (Anthony Fauci) ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์อยู่ในคณะกรรมการแก้ปัญหาโควิดของทรัมป์ แต่มีจุดยืนด้านการแพทย์แตกต่างกับทรัมป์ แย้งอย่างสุภาพว่าให้รอตัวเลขทางการแพทย์ให้ดีขึ้นก่อนที่จะเปิดประเทศ ทั้งๆ ที่จำนวนผู้ป่วยในอเมริกา ปัจจุบันอันดับ 1 ของโลกคือกว่า 85,594 คน(ข้อมูลจากวันที่ 27 มีนาคม 2563) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่แทนที่ทรัมป์จะฟังการแพทย์ เขากลับต้องการให้เปิดประเทศ
ยังโชคดีในอเมริกาเป็นรัฐบาลที่ต้องร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น คือระดับรัฐต่างๆ มีผู้ว่าการรัฐที่มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน จากการแถลงข่าวของทรัมป์กับผู้ว่าการหลายรัฐ เช่น แอนดรูว์ คัวโม (Andrew Cuomo) ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก มีความเห็นไม่ตรงกันคือ Cuomo ต้องการแก้ปัญหาการแพทย์ก่อนจึงเปิดประเทศ
ประเด็นสุดท้ายสำคัญที่กระทบมาจาก COVID-19 คือเรื่องกีฬา หลายคนคงคิดว่ากีฬาเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ปัจจุบันกีฬาเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญต่อชีวิตคนเป็นจำนวนมาก แต่กีฬาอันตรายต่อการขยายตัวของ COVID-19เพราะเหงื่อออก และต้องใกล้ชิดกัน ปัจจุบันทุกประเทศรวมทั้งไทยหยุดกีฬาไปกว่าเดือนแล้ว ผมเองก็ต้องอดทน เพราะชอบดูกีฬา ชอบศึกษากีฬาทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย เช่นในอเมริกา ผมอดดู NBA บาสเกตบอลอาชีพและคาดว่าคงยกเลิกไปเลยทั้งฤดูนี้
ในอังกฤษ แน่นอนฟุตบอลลีกคงมีโอกาสกลับมายากเพราะไม่สามารถจัดการเรื่อง COVID-19 ได้ ผมชื่นชมผู้บริหารกีฬาทั้งในไทยและต่างประเทศที่ช่วยกันหยุดกิจกรรมเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของ COVID-19 เน้นสุขภาพมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความสนุกสนานในการดูกีฬา
ถึงแม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่น ยังมีความประสงค์จะจัดโอลิมปิก 2020 แต่ในที่สุด ต้องยอมเลื่อนไปเพราะรับแรงกดดันจากหลายๆ ประเทศไม่ไหว เช่น แคนาดา และออสเตรเลียที่ไม่ส่งนักกีฬามา เพราะคิดว่าไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีการชุมนุมติดต่อกันของนักกีฬาจำนวนมากในที่สุดเรื่องกีฬา ก็ต้องคำนึงถึงการแพทย์มาก่อน
สรุปคือ ผลกระทบ COVID-19 ทุกประเทศต้องปรับนโยบายลดการชุมนุม มีวินัย เมื่อหายแล้วเช่นในจีนจึงกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และยังช่วยประเทศอื่นด้วย ถ้ามีผู้นำแบบทรัมป์ที่มีท่าทีว่าฉันเป็นผู้นำไม่เกรงกลัวใคร คิดว่าเป็นประธานาธิบดีใหญ่ที่ทุกคนต้องตามนโยบายฉันทำไม่คำนึงผลกระทบทางการแพทย์ จึงถูกฝ่ายการแพทย์คัดค้านอย่างฉลาดตลอดเวลา เช่น นายแพทย์แอนโทนี เฟาอซี และท่านผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แอนดรูว์ คัวโม เป็นต้น
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี