การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายอย่างรุนแรงไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของไทยทรุดลงมาอย่างน่ากลัวเป็นที่คาดหมายว่าพิษไวรัสครั้งนี้จะทำให้รายได้ประชาชาติของไทยในปี 2563ต่ำกว่าปี 2562 ถึงร้อยละ 10 ทำให้ 3 สมาคมใหญ่ด้านเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ สมาคมธนาคารไทย,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ประเมินร่วมกันว่า
รายได้ประชาชาติในปี 2563 ที่มีเป้าไว้ที่ขั้นต่ำ 18ล้านล้านบาท น่าจะรูดต่ำกว่าปี 2562 ที่มียอด 17,592,900 ล้านบาท ลงไปเหลือแค่ 16,500,000 ล้านบาทอาจจะส่งผลเสียหายตามมาอีกมากมาย วิธีแก้ไขคือ ภาครัฐบาลและภาคเอกชนต้องระดมเงินทุนมหาศาลพอสมควรไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาท หรือสูงถึง 1 ล้านล้านบาท เพื่อประคองเศรษฐกิจให้อยู่รอดต่อไป เดิมเดือนกุมภาพันธ์นั้น ครม.ได้มีมติเห็นชอบมาตรการการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวจากไวรัสในปี 2563 ด้านภาษีการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91 ให้ขยายเวลาดังกล่าวออกไปถึงเดือนมิถุนายน 2563
การเงินให้สถาบันการเงินของรัฐดำเนินการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขผ่อนปรน และการขยายเวลาชำระหนี้และค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่องและปรับปรุงสถานประกอบการสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสรวมถึงเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการในช่วงที่ได้รับผลกระทบเช่น ธนาคารออมสิน ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาไม่เกิน 5 ปี
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพักชำระหนี้เงินต้นสำหรับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีวงเงินคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน โดยต้องมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนเข้าร่วมโครงการ และต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ธ.ก.ส.ให้ผัดผ่อนการชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน ต่อเนื่องไม่เกิน 5 ครั้ง และขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขยายเวลาการชำระหนี้ได้ 20 ปี
การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขผ่อนปรนของธ.ออมสิน,ธ.พัฒนาวิสาหกิจฯ และธ.กรุงไทย วงเงิน 123,000 ล้านบาทดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 3 ต่อปี วงเงินยอดนี้ต่ำไปอาจต้องเพิ่มให้ถึง 200,000 ล้านบาท ในขณะที่เงินช่วยแก่ผู้มีอาชีพอิสระ 9 ล้านคนนั้น จะอยู่ที่ยอด 135,000ล้านบาท ที่เหลือให้วงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่บริษัทธุรกิจทุกสาขาที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสซึ่งน่าจะมีวงเงินอีกอย่างน้อยประมาณ 300,000 ล้านบาท
ส่วนการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจรากหญ้าคือ เกษตรกรทุกสาขานั้นรัฐบาลต้องมีวงเงินในการแก้ปัญหาภัยแล้งและราคารับซื้อผลผลิตหลักที่สำคัญทั้งข้าวเปลือก, ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง, ถั่วเหลือง ฯลฯ เพื่อให้เกษตรกรมีกำลังซื้อจะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนสอดรับกันซึ่งประเมินว่าต้องใช้เงิน 300,000 ล้านบาทก็จะทำให้ประคองภาวะเศรษฐกิจของประเทศอยู่รอดต่อไปได้ในที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี