ตามที่ดาราบางคน... ย้ำ! บางคน
เพราะดารา-คนดังส่วนใหญ่ ก็เห็นเขาบริจาคเงิน บริจาคงาน หรือบริจาคกำลังแรงกายแรงใจ ไปกับการแก้วิกฤติรุนแรงที่สุดของชาติบ้านเมืองครั้งนี้(นับแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา) โดยมิได้หยิบเอา “การเมือง” เข้ามาตั้งแง่ ตั้งเงื่อนไขทิ่มแทง ก่อให้เกิดความสับสน หรือปลุกเร้าความไม่พอใจในตัวรัฐบาลที่บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 อยู่ในขณะนี้
คงมีเพียงดารา-คนดัง ไม่กี่คน (ซึ่งก็ไม่ได้ดังอะไรแล้ว จึงขอไม่เอ่ยชื่อ) ที่ดูจะจงใจ “เล่นการเมืองกับการบริจาค” มากกว่าจะมีจิตสาธารณะต่อการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรงต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ราวกับว่าขณะนี้ ไม่ได้มีงบประมาณไปช่วยเหลือการแก้ปัญหาโควิด-19 เลย โดยไม่ได้ศึกษาสถานการณ์และการบริหารงานการเงินการคลังแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย ว่ามีวิธีการใช้จ่ายเงินแผ่นดินอย่างไร และการจัดซื้อเวชภัณฑ์ในยามนี้ ไม่ใช่แค่ใช้เงินแล้วจะซื้อได้ทันที แต่จะต้องใช้การเจรจาระหว่างประเทศ จัดซื้อทีละเป็นแสนๆ หน่วย
1. ล่าสุด องค์การเภสัชกรรม (GPO) เปิดเผยว่า หน้ากากอนามัยเอ็น 95 (N95) จำนวน 400,000 ชิ้น และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือพีพีอี (PPE) 400,000 ชุด ที่ซื้อจากจีนจะมาถึงไทยสัปดาห์หน้า มูลค่าของทั้งหมดอยู่ที่ 660 ล้านบาท โดย นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จัดเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเราจะส่งเครื่องบินไปจีน เพื่อรับมอบอุปกรณ์ ทั้งนี้ กระบวนการจัดซื้อหน้ากากเอ็น 95 และอุปกรณ์พีพีอีนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา เนื่องจากต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) และโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง”
2. การรับบริจาค ในยามวิกฤติร้ายแรง มีมาทุกยุค ทุกสมัยทุกยุครัฐบาล และทุกประเทศ
ไม่ว่าจะน้ำท่วม พายุเข้า หรือแม้แต่ยามมีสงคราม (คงจำสมัยร่มเกล้าได้) ฯลฯ
จะว่าไปแล้ว เหมือนเป็นทางออกฉุกเฉินที่มีความคล่องตัวในการจัดการ ทันสถานการณ์
ปัจจุบัน ในต่างประเทศ แม้แต่สหรัฐอเมริกา ก็มีการประกาศขอรับบริจาคสู้กับภัยโควิด-19 กันอย่างกว้างขวาง
เป็นช่องทางให้คนมีมาก หรือคนมีเหลือ หรือคนที่มีจิตสาธารณะ(แต่ไม่พร้อมหรือไม่สามารถจะลงแรงไปช่วย) ได้ช่วยเหลือตามกำลังของตัวเอง ตามความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ
สะดวกบริจาคอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ตามแต่สถานการณ์ ความจำเป็นเร่งด่วน และความพร้อมของแต่ละคน
3. อันที่จริง คนทั่วไปในสังคมที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ก็พอจะเข้าใจ “หลักของการบริจาค” และ “หลักการบริหารเงินแผ่นดิน” ว่าแต่ละปีงบจัดสรรไปไหน อย่างไร มิใช่ว่าไม่เหลือเงินไปแก้ปัญหาโควิด-19 แบบที่บางคนกล่าวหาแบบมั่วๆ ประเภทไม่ศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริง แต่เอาอคติและอารมณ์เป็นเครื่องตัดสิน
ยกตัวอย่างคนที่เข้าใจ... คุณ Bung Kanchanatula โพสต์แสดงความเห็นไว้ง่ายๆ บางส่วนน่าสนใจ เช่น
“...ถามหน่อยว่า...ทุกวันนี้ยังคิดว่ารัฐบาลเก็บเงินงบประมาณไว้ในท้องพระคลังเหรอ จะใช้ก็เดินไปหยิบออกมารึไง อ่านนะ วันนี้ยาว แต่จะเล่าให้ฟัง ว่าเงินที่บอกว่ามีเยอะๆ มันอยู่ที่ไหน
งบประมาณรายจ่ายประจำปี จะทำขึ้นก่อนปีงบประมาณที่จะใช้จริง 1 ปี ดังนั้น เราจะเริ่มขบวนการในการวางแผน เสนอขอ พิจารณา โดยใช้เวลา1 ปีงบประมาณก่อนหน้าเพื่อให้ พ.ร.บ.งบประมาณ สามารถประกาศใช้ได้ใน1 ต.ค.ของปีถัดไป การเสนอของบประมาณล่วงหน้า 1 ปี จึงไม่สามารถที่จะคาดเดาไปก่อนได้ว่า ปีที่ใช้จริงจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ดังนั้น ใน พ.ร.บ.งบประมาณ จึงมีมาตราหนึ่ง ชื่อว่า “งบกลาง” เอาไว้ให้รัฐบาลบริหารเงินที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่แต่ละส่วนราชการวางไว้
... เงิน 3.2 ล้านล้าน จึงแบ่งออกเป็น งบกลาง งบของแต่ละส่วนราชการ และเงินที่รัฐบาลต้องชำระหนี้ที่มีอยู่ สรุปว่า เงินทุกบาททุกสตางค์มันมีคนจอง มันมีเจ้าของหมดแล้ว เมื่อ พ.ร.บ.งบประมาณออก เงินเหล่านี้ก็จะมีรหัสงบประมาณคุมทุกรายการ สั่งจ่ายตามงวดงานตามแผนงานที่แต่ละส่วนราชการได้วางไว้ และกฎหมายก็กำหนดไว้ว่า งบประมาณของส่วนราชการใด เป็นของส่วนราชการนั้น จะโอนไปเป็นอย่างอื่นมิได้ เพราะงั้นนี่เป็นอีก 1 คำตอบที่ว่าทำไมไม่เอางบคนนั้นไปให้คนนี้ ทำไมไม่ดึงไปนั่นไปนี่ มันทำไม่ได้ กฎหมายมันไม่ให้ทำ
มาดู “งบกลาง” กันมั่ง งบที่ว่าเป็นกระเป๋าของรัฐบาล ปี’63 ตั้งไว้ 5 แสนล้านถามว่าเงินไปไหนหมด
งบกลาง จำแนกออกไปเป็นรายการต่างๆ อีกมาก ก้อนใหญ่ที่สุดของงบกลาง ประมาณ 4 แสนล้าน คือ เงินที่เป็นสวัสดิการในการรักษาพยาบาลของรัฐ เงินบำนาญ เงินสมทบ เงินช่วยเหลือ ขรก. ลูกจ้าง พนักงานราชการ และเงินเลื่อนเงินเดือน พูดง่ายๆ ก็คือ เงินเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล กับ บำนาญ แล้วก็เงินสมทบให้ได้เงินเดือน 15,000 ของ ขรก. นั่นแหละ อยู่ในก้อนนี้ ที่เหลืออีก 1 แสน เป็นเงินที่เรียกๆ กันว่า งบฉุกเฉิน 9 หมื่นกว่าล้าน กับเงินทดรองราชการไว้ใช้เรื่องภัยพิบัติอีก 3 พันล้าน หมดแล้ว ดังนั้น ไอ้ก้อนงบกลางๆ ที่พูดๆ
กันน่ะ 5 แสนล้าน เอามาใช้จ่ายได้จริงๆ 9.9 หมื่นล้านเท่านั้น ที่เหลือก็มีคนจองกฐินไว้หมดแล้ว ไม่จ่ายได้เหรอบำนาญงี้ เงินช่วยเหลืองี้
หนี้ที่รัฐบาลต้องชำระ ไปดู 2 มาตราสุดท้ายของ พ.ร.บ.งบประมาณ ปี’63 มีหนี้ต้องจ่ายอยู่ประมาณ 3 แสนล้าน คงไม่ต้องบอกว่าใครสร้างไว้ เราจะข้ามเรื่องการเมืองไป แต่รู้ไว้ว่าต้องจ่ายปีๆ นึงเท่าไหร่ก็พอ
เงินเดือนของ ขรก. ทุกส่วนราชการอีก 7.7 แสนล้าน ไม่จ่ายได้มั้ยคนเค้าทำงานทำการกัน
อ่ะ...ที่พูดๆ ไปข้างบน รวมๆ แล้ว 1.5 ล้านล้านเข้าไปละ ทีนี้เหลืออีกครึ่งนึง ก็อย่างที่บอก เป็นงบของแต่ละส่วนราชการที่เขียนแผนการใช้ไว้หมดแล้ว
หมดละ...แล้วเวลาเกิดเรื่อง ถามว่ารัฐบาลเอาเงินไปทำอะไรหมด ก็ย้อนไปอ่านข้างบน เงินมันมีอยู่เท่านั้น มีคนจองไว้หมดแล้ว ถ้ามีเหตุวิกฤติฉุกเฉินขึ้นมา ทำได้ก็คือปรับแผนของแต่ละหน่วยเอามาใช้จ่ายเฉพาะหน้านี่ก่อน ซึ่งเค้าก็ปรับกันแล้ว เพิ่งรายงานเข้า ครม.ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปหาอ่านเอายกตัวอย่างง่ายๆ เลย งบของกองทัพเรือ เค้าไม่ได้ของบเพิ่มที่เค้าต้องมาดูแลคนที่ต้องไปกักตัวที่เค้า เค้าก็ปรับแผนการใช้งบประมาณของหน่วยเค้า เอามาใช้จ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าดูแลต่างๆ กำลังพลที่มาทำรับเงินเดือนอยู่แล้วก็สบายไปไม่ต้องไปจ้างใครมาดูแลเพิ่ม แบบนี้เป็นต้น
มาถึงคำถามสุดท้าย ทำไมอะไรๆ ก็ต้องบริจาค
กระทรวงสาธารณสุขอ่ะนะ ได้งบประมาณปีๆ นึงติด top 3 ตลอด แถมมีเงินนอกงบจากรายรับสถานพยาบาลทั่วประเทศที่ให้บริการอยู่อีก แต่ทำไมถึงไม่เพียงพอที่จะจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ก็เพราะคนที่เข้าไปรับบริการส่วนใหญ่ใช้สิทธิสวัสดิการของรัฐไง...
...คุณต้องอย่าลืมว่า ถ้าคุณมองว่าทุกอย่างคือภาระ คือหน้าที่ที่รัฐบาลต้องจัดหางบประมาณให้เพียงพอต่อทุกอย่างในประเทศนี้ คุณต้องถามที่มาของแหล่งเงินด้วย ความต้องการของแต่ละส่วนราชการ ความจำเป็นของแต่ละส่วนราชการมันมี ต่อให้คุณยุบกลาโหมทั้งกระทรวงแล้วไปจ้างยามมาดูแลแทน คุณก็ยังมีเงินไม่เพียงพอสนับสนุนงานของกระทรวงสาธารณสุขอยู่ดี รัฐบาลเข้ามาบริหารงานประเทศ ไม่เหมือนบริหารบริษัท ต้องดูทุกภาคส่วนเศรษฐกิจก็ต้องดู เกษตรกรก็ทิ้งไม่ได้ การศึกษา สาธารณสุข การบริการขั้นพื้นฐาน ความมั่นคง ต้องดูทั้งนั้น ต้องลำดับความสำคัญ แล้วใครอยู่ในสายงานไหนก็ต้องบอกว่าตัวเองสำคัญที่สุด จะให้หมอเยอะ ชาวนาก็ด่า พอให้ทหาร เกษตรกรก็บ่น แต่พอถามว่าแล้วจะให้ทำยังไง....เงียบกริบ ไม่มีคำตอบ ดีแต่ตั้งคำถาม หนักไปกว่านั้น ถามเสร็จสะบัดตูดหนีไปเลย พอคนมาตอบบอกว่าเค้าแถ....เอาเข้าไป
...ปล. เผื่อมีคนด่าว่ารัฐบาลหาเงินไม่เป็นดีแต่ใช้ ย้อนอ่านข้างบนก่อนที่จะคิดถามแบบนี้ออกมานะคะ งบประมาณทำล่วงหน้า 1 ปี เพราะฉะนั้น เค้าหาเงินมา 3.2 ล้านล้าน เค้าคงไม่รู้ล่วงหน้าว่าปีที่จะใช้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราใช้เงินที่เราทำแผนมาตั้งแต่ปีที่แล้วอยู่ ถ้าจะหาเงินมาสนับสนุนมาตรการต่างๆ ได้ตอนนี้ เต็มที่ก็ออก พ.ร.ก.เงินกู้ ไม่ก็ออกพันธบัตรมา แต่ถามว่าทันใช้มั้ย อย่าสักแต่ด่า ตอบให้ได้ด้วยว่ารายได้รัฐบาลมาจากไหน แค่ที่ต้องรับมือสถานการณ์ทุกวันนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวที่เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะได้มาใช้จ่าย ก็แทบไม่เหลือแล้ว ส่งออกก็มีมาตรการห้ามสินค้าที่ประเทศจำเป็นต้องใช้ ตั้งมากตั้งมาย คนทำงานด้วยปากน่ะมันง่าย เพลาๆ ลงมั่งเหอะ
สรุปว่า 3.2 ล้านล้าน ก็หมุนวนอยู่ในระบบนี่ล่ะ ยังไม่ได้ไปไหน ที่พูดมาทั้งหมด อธิบายแค่เรื่องงบประมาณ พูดแค่ข้อเท็จ-จริง ตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะฉะนั้น หน้ากากที่หายไป ชุดป้องกันเชื้อ และอะไรทั้งหลายแหล่ที่ถามว่าทำไมหาไม่ได้ ไปถาม สธ. เอา ว่าเค้าบริหารงบยังไงถึงเป็นแบบนี้ อย่าเหมารวม แยกส่วนการพิจารณาด้วย...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี