31 มี.ค. Goldman Sachs คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัว 1.8% ในปีนี้
หนักหนาสาหัสกว่าวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งไหนๆ
นี่คือมหาวิกฤติเศรษฐกิจไทย บนเส้นด้ายของเศรษฐกิจโลก
1. พิษร้ายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบในรูปของการหยุดชะงักอย่างฉับพลัน (sudden stop) ของเศรษฐกิจทั่วโลก ทำลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อรายได้ของผู้คน สืบเนื่องจากการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค เช่น การปิดเมือง ปิดประเทศในหลายประเทศ ฯลฯ กระทบต่อความเชื่อมั่นที่ลดลงเนื่องจากไม่มั่นใจในอนาคตที่ไม่แน่นอน ผลกระทบจึงกว้างขวาง ลึก และรวดเร็วเฉียบพลัน ทั่วโลก
2. เศรษฐกิจไทยกระเทือนหนักหนาสาหัส เพราะเราพึ่งพารายได้จากการส่งออกมากถึง 58% และการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 12% ของ GDP
ขณะที่ประเทศจีน สหรัฐ อียู ฯลฯ กลุ่มประเทศแหล่งรายได้สำคัญของไทยเรา อาการโคม่าทั้งนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยเรามีภัยแล้ง และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงสะสมอยู่ก่อนแล้วด้วย
3. รัฐบาลสหรัฐออกมาตรการการคลังสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่า
2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ครอบคลุมการจ่ายเช็คเงินสดให้ประชาชน (บางกลุ่ม) รายละ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ
จัดสรรเงินกู้แก่ภาคธุรกิจขนาดย่อม วงเงิน 3.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ธนาคารกลางสหรัฐขยายมาตรการ QE เพิ่มเติมโดยไม่จำกัดวงเงิน (Unlimited) รวมถึงขยายประเภทหลักทรัพย์ที่จะเข้าซื้อไปยังตราสารหนี้เอกชน พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน (MBS) อีกทั้งเพิ่มวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ และการเข้าซื้อกองทุน ETFs
4. ในยุโรป ล่าสุด นาง Angela Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
ระบุว่า ทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาโรคระบาดอย่างทั่วหน้ากัน ดังนั้น จำเป็นที่ทุกคนรวมถึงเยอรมนี ต้องร่วมมือกันให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมีเพียงเป้าหมายเดียวคือ “More Europe a stronger Europe and a well-functioning Europe.”
เป็นการแสดงท่าทีโอนอ่อนลงหลังจากที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธข้อเสนอของบางประเทศสมาชิกที่ต้องการให้ออก joint debt instrument เพื่อใช้สนับสนุนทางการเงินให้แก่ประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง
คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) กำหนดประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกภายใต้สถานการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 และอาจนำไปสู่การใช้มาตรการ “state-sponsored wage support system” (รัฐอุดหนุนเงินค่าจ้างเอกชน) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่ทางเยอรมนีมักนำมาใช้เพื่อดูแลตลาดแรงงานภายใต้สถานการณ์วิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศ
5. สิงคโปร์ จะใช้เงินราวๆ 30,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 8.9% ของจีดีพี เพื่อดูแลวิกฤติเศรษฐกิจ
พนักงานเอกชน จะได้รับเงินชดเชยค่าจ้างเป็นจำนวนสูงถึง 75% โดยจะเริ่มในเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป การช่วยเหลือเงินชดเชยค่าจ้างในส่วนนี้จะนับที่ค่าเงินเดือนเฉลี่ยของคนสิงคโปร์ที่ 4,600 ดอลลาร์ หรือประมาณ 100,000 บาท อยู่ในแผนงบประมาณของสิงคโปร์ที่เรียกว่า “Solidarity Budget”
นอกจากนี้ ยังมีการแจกเงินให้แก่ประชาชน รายละ 417.7 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13,688 บาท)
6. ประเทศไทย ล่าสุด รัฐบาลเตรียมมาตรการชุดที่สาม มูลค่ากว่า1.9 ล้านล้านบาท
หรือราวๆ 11% ของจีดีพี
รายละเอียดจะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไป
7. ข้อมูลและมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักวิจัยกรุงศรี ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ Research Intelligence ประจำเดือนเมษายน ในหัวข้อ COVID-19 Impact on the Thai Economy and Vulnerability of Thai Firms ผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจไทยและความเปราะบางของบริษัทไทย ซึ่งสำนักข่าวไทยพับลิก้าได้แปลมานำเสนอไว้อย่างน่าสนใจ บางตอนระบุว่า
“...วิจัยกรุงศรีได้ประเมินผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 และได้ข้อสรุปว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าที่เคยประเมินไว้ และจากการวิเคราะห์ลงไปในระดับบริษัทด้วยการใช้ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ 747,390 บริษัทในประเทศ เพื่อดูผลกระทบให้ลึกลงไป จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยลดลง 60% และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก 2 เดือนติดต่อกัน ก็พบว่า จะสร้างปัญหาสภาพคล่องให้กับ 90,000 บริษัท กลุ่มที่เปราะบางต่อการขาดสภาพคล่องมากที่สุด คือ ผู้ประกอบการร้านอาหาร ตามมาด้วยกลุ่มขนส่งทางอากาศรายเล็ก ผู้ประกอบการโรงแรม อีกทั้งบริษัทขนาดเล็กเปราะบางกว่ากลุ่มอื่นๆ
ส่วนบริษัทขนาดใหญ่นั้น กลุ่มร้านอาหาร ดีลเลอร์รถยนต์ และโรงแรม มีความเสี่ยงต่อการระบาดมากกว่า จึงมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้มากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มอื่นๆ
โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยต้องใช้เงินอย่างน้อย 1.7 ล้านล้านบาท อัดฉีดสภาพคล่องให้กับธุรกิจเพื่อให้รอดพ้นจากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง…
...วิจัยกรุงศรีประเมินว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะแตะระดับสูงสุดหรือพีค (peak) ในเดือนเมษายน แต่การระบาดยังต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ดังนั้น จึงคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับต่ำ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศยังคงมีไม่มาก และอาจจะมีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นมากขึ้นไปอีกในอีก 2 เดือนข้างหน้า
จากแบบจำลองที่ใช้ จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเกือบ 20,000 รายในช่วงนั้น แต่หากมาตรการควบคุมไม่แรงพอ จำนวนผู้ติดเชื้ออาจจะเพิ่มสูงถึง 80,000 ราย และผลที่ได้จากแบบจำลองการระบาดของไวรัสจะพีคในช่วงหลังของเดือนเมษายน และจะควบคุมได้ในสิ้นเดือนพฤษภาคม
การขาดตอนของอุปทาน (ปริมาณสินค้า) ในประเทศนำไปสู่อุปสงค์ (ความต้องการ) ที่อ่อนตัว ภาวะการชะงักงันด้านอุปทานจะส่งผลกระทบในวงกว้างไปยังด้านอุปสงค์ ลูกจ้างอาจจะมีรายได้น้อยลงหรืออาจจะถูกให้ออกจากงาน ส่วนผู้ค้าขายอิสระอาจจะไม่มีรายได้ เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงัก และเมื่อสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ผลกระทบทางลบของตัวทวีคูณรายได้ (negative multiplier effect) จะเริ่มขึ้น และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจผ่านอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงและกระทบกันเป็นลูกโซ่ ทั้งนี้ เห็นได้จากการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก...
....โดยรวมแล้ว การระบาดของโควิด-19 อาจจะส่งผลให้บริษัทในประเทศไทยต้องการสภาพคล่องระยะสั้นสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท หรือราว 10% ของจีดีพี ทั้งนี้ ประเมินจากจำนวนเงินที่จะไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ภายใน 1 ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้และปรับโครงสร้างธุรกิจ บริษัทในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกแต่ละภาคธุรกิจต่างต้องการเงินราว 200,000 ล้านบาทเพื่อชำระหนี้ระยะสั้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงแรมธุรกิจการขนส่งทางอากาศ และธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด อาจจะต้องการเงิน 30,000-50,000 ล้านบาทเพื่อความอยู่รอด โดยรวมแล้วสัดส่วนเกือบ 60% ของบริษัทที่ประสบปัญหาจะต้องใช้เงินมากกว่า 1 ล้านบาทต่อราย
การระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสเริ่มมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งโลก ประเทศไทยได้รับผลกระทบรุนแรงมาก ไม่มีภาคธุรกิจใดไม่ได้รับผล ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรและรายได้ของบริษัทลดลง และจะประสบปัญหาสภาพคล่องตึงตัว อันจะทำให้เศรษฐกิจไทยยิ่งดำดิ่งถดถอยมากขึ้นอีก
การวิเคราะห์ของวิจัยกรุงศรีพบว่า เฉพาะภาคธุรกิจในระบบต้องการเงินจำนวน 1.7 ล้านล้านบาท เพื่อรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ หากรวมเศรษฐกิจนอกระบบและภาคครัวเรือนเข้าไปด้วย ก็จะต้องใช้เงินมากกว่านี้มากเพื่อป้องกัน
ไม่ให้เศรษฐกิจไทยทรุดหนักจากการระบาดของไวรัส...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี