แผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กำลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะข้อเสนอที่ให้กระทรวงการคลังเข้าไปค้ำประกันเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้การบินไทย วงเงินกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งกังวลกันว่าจะสร้างภาระหนี้ให้กับรัฐบาลจำนวนมาก ในเวลาที่รัฐบาลก็มีภาระการดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งผลจากโรคระบาดโควิด-19 คาดการณ์กันว่าประชาชนจะตกงาน ปิดกิจการ ไม่มีการจ้างงาน ไม่มีรายได้ และเป็นภาระที่รัฐบาลต้องโอบอุ้มไปอีกระยะหนึ่งซึ่งไม่สั้นเสียด้วย แล้วรัฐบาล ยังต้องแบกภาระค้ำประกันให้แก่บริษัทที่ไม่มีอนาคตให้เห็น แต่เน้นคำว่า “สายการบินแห่งชาติ”ต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ?
5 พฤษภาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 12.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ยังไม่มีการนำแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมครม.วันนี้ ซึ่งการฟื้นฟูเป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ที่จะเสนอมา เพราะอยู่ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลต้องฟื้นฟูอยู่แล้ว ซึ่งใช้เวลามานานหลายปีพอสมควร
“และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะดูแลตรงนี้ไม่ให้แย่ไปกว่านี้ เพราะมันค่อนข้างยากที่จะมีการปรับทั้งในองค์กร บุคลากร ปรับโครงสร้างต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการ ผู้บริหารและสหภาพแรงงาน ทุกคนต้องร่วมมือกัน ถ้าท่านยังคงไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดปัญหา และลำบากไปกว่านี้ เมื่อถึงเวลาก็มีกฎหมายทุกตัว เมื่อเข้าเกณฑ์ตรงนั้นก็ต้องไปตรงนั้น รัฐบาลก็เข้าไปดูแลไม่ได้ นี้คือสิ่งที่เป็นเหตุผลและความจำเป็น
...วันนี้ การฟื้นฟูมีประมาณ 10 ประการ ที่เป็นแผนงานฟื้นฟูก็ต้องทำให้ได้ ฉะนั้นการที่จะให้เงินกู้หรืออะไรต่างๆ ไป ไม่ใช่ให้ไปแล้วใช้จนหมด แล้วทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้น ครั้งนี้ท่านต้องปรับโครงสร้างทั้งหมด ก็ไม่ได้อย่าไปก้าวล่วงอำนาจของใครทั้งสิ้น เพราะมันมีกฎหมายของท่านอยู่”นายกรัฐมนตรี กล่าว
อดีตผู้บริหาร บมจ.การบินไทยรายหนึ่ง กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า “จุดเปลี่ยนสำคัญของการบินไทยในตอนนี้ คือ หากรัฐบาลยังมองว่าประเทศไทยควรจะมีสายการบินแห่งชาติต่อไป จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่เงินเข้ามาช่วยอุ้ม และต้องรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็ว หรือภายในเดือน พ.ค.นี้ เนื่องจากสถานะของการบินไทยตอนนี้ไม่มีเงินเหลือที่จะเดินต่อไปแล้ว แต่ถ้าหากคิดว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีสายการบินแห่งชาติก็เตรียมปิดกิจการได้เลย”
ขณะที่แหล่งข่าวในธุรกิจการเงินรายหนึ่งวิเคราะห์ว่า จุดเปลี่ยนและจุดเสี่ยงสำคัญของการบินไทยในวิกฤติรอบนี้ คือ การที่ผู้บริหารโอนทุนสำรองตากฎหมาย 2,691 ล้านบาท และเงินสำรองที่เกิดจากส่วนล้ำมูลค่าหุ้น 2.55 หมื่นล้านบาทไปชดเชยผลขาดทุนสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการ 2.8 หมื่นล้านบาท (มูลค่า ณ เมื่อ 31 ธ.ค. 2561) เมื่อกลางปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งทางผู้บริหารให้เหตุผลว่า วิธีนี้จะทำให้องค์กรอยู่รอดและเห็นผลเร็วที่สุด ทำให้บริษัทไม่เหลือเงินคงคลังเพื่อนำมาใช้ในเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉิน
เพจ TG UNION ซึ่งเป็นเพจของสหภาพแรงงานการบินไทย โพสต์บทความ เรื่อง ปูมการบินไทย “การบินไทย” มรดกบาปจากใคร !! เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า บมจ.การบินไทย ทำไมจึงประสบภาวะการขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง?
“...ปัญหาหลักใหญ่ที่สุดมาจากการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเร่งรัดการซื้อเครื่องบินในช่วงปี 2544 เป็นต้นมา
1.การบินไทยซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 4 ลำ ในช่วงเวลานั้น แม้ทางสภาพัฒน์จะขอให้ทบทวน นี่คือจุดเริ่มต้นของการขาดทุน ผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการบริษัทในช่วงรัฐบาลทักษิณ
2.ในปี 2547 รัฐบาลทักษิณเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนในสายการบิน จาก 70/30 มาเป็น 51/49 โดยให้แอร์เอเชียถือหุ้น 49% Shincorp 49% กุหลาบแก้ว 2% nominee ผู้รับผิดชอบ คือ รัฐบาล
3.หลังจัดตั้งไทยแอร์เอเชีย คณะกรรมการบินไทยมีนโยบายมิให้ฝ่ายการพาณิชย์การบินไทยทำการแข่งขันกับไทยแอร์เอเชีย ผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการ
4.หลังจัดตั้งสายการบินนกแอร์ ฝ่ายบริหารนกแอร์ไม่ดำเนินการตามนโยบายคณะกรรมการบริษัทการบินไทยก็มิได้เข้าไปควบคุมนโยบาย แม้จะมีเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการ
5.แทนที่จะเข้าไปควบคุมสถานการณ์ในนกแอร์ คณะกรรมการกลับไปลงนามใน MOU เพื่อร่วมทุนกับสายการบิน ไทเกอร์ ที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้นในช่วงนั้น 49% โดยไม่ได้ศึกษาว่าสายการบินไทเกอร์ ขาดทุนติดกันหลายปีและถูกระงับการบินไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากด้อยความปลอดภัย ลงเงินไปแล้ว 100 ล้านบาท โครงการต้องล้มไปเพราะมีการต่อต้านว่า ชักศึกเข้าบ้าน ผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการ
6.เพียง 5 เดือนหลัง โครงการไทยไทเกอร์ต้องล้มไปคณะกรรมการ จัดตั้งสายการบินไทยสมายล์ ผลการศึกษาปี’57, ’58, และ ’59 จะทำกำไร 5,056 ล้านบาทผลประกอบการจริง ขาดทุน -4,485 ล้านบาทผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการ
7.ในช่วงจัดตั้งไทยสมายล์ คณะกรรมการบริษัทการบินไทย สนับสนุนให้นกแอร์ (การบินไทยถือหุ้น 39%) ไปร่วมทุนกับสายการบินสกู๊ต ซึ่งสิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้น 100% แม้ในปี’58 การบินไทยขาดทุน 13,047 ล้านบาท ยังอนุมัติเงิน 983 ล้านบาท เพื่อลงทุนในนกสกู๊ต ผู้รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการ
8.ปี 2557 สายการบินไทยสมายล์ขาดทุน 577 ล้านบาทและตามสัญญาเช่าเครื่องบินแบบ A320-200 จำนวน 12 ลำ บริษัทผู้ให้เช่าและบริษัทผู้เช่ามีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาโดยแจ้งล่วงหน้า 6 เดือน ต้นปี’58 ICAO ให้ธงแดงประเทศ ซึ่งแน่นอนจะต้องกระทบผลดำเนินการของไทยสมายล์ ในปีเดียวกัน คณะกรรมการซูเปอร์บอร์ด ซึ่งมีท่านนายกฯ เป็นประธาน มีมติให้การบินไทยชะลอการจัดหาเครื่องบิน และในปี’58 ไทยสมายล์ขาดทุน 1,843 ล้านบาท ควรทบทวนแผนการบินไทยสมายล์ ที่สามารถจะทำการยกเลิกจำนวนเครื่องบินที่เช่าลง แต่กลับไปเพิ่มจำนวนเครื่องบินอีก 8 ลำ และผลประการปี’59 ที่ว่าจะกำไร 1,910 ล้านบาท มาเป็นขาดทุน 2,060 ล้านบาท
9.อนุมัติการจัดซื้อระบบสำรองที่นั่ง Navitaire จากบริษัทที่โดนศาลสหรัฐปรับเป็นเงินกว่า 2 พันล้านบาทฐานรับสินบน ระบบดังกล่าวไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบของการบินไทยได้ เป็นการทำลาย Net work ของการบินไทย ในที่สุดต้องเลิกใช้ เสียหายไป 500 ล้านบาท
10.ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นการลงทุนในสายการบิน มีรัฐบาลจากการรัฐประหาร 2 รัฐบาล รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง 3 รัฐบาล คณะกรรมการบริษัทมิได้เสนอทางแก้ไขนโยบายดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียว เพื่อปกป้องผลประโยชน์บริษัท และสิทธิการบินซึ่งเป็นสมบัติของชาติ...”
พี่น้องสหภาพฯ ครับ ดูเหมือนตอนนี้ คำว่า “สมบัติชาติ” จะเป็นคำที่ขายยากแล้วนะครับ
นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ เตือนว่า “อนาคตของอุตสาหกรรมการบินจากสถานการณ์โควิด-19 บวกกับภาวะขาดทุนสะสม และความไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารองค์กร อาจทำให้การอุ้มการบินไทยด้วยเงินหลายหมื่นล้านเป็นการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ครั้งประวัติศาสตร์ด้วยภาษีของประชาชนไทยทุกคน”
ขณะที่อดีตกรรมการบริษัทการบินไทย อย่าง “นายบรรยง พงษ์พานิช” เห็นด้วยที่รัฐจะให้เงินอุดหนุน 50,000 ล้านบาท แต่มองว่าควรเป็นการให้กู้มากกว่าการค้ำประกัน แม้สุดท้ายต้องจ่ายเหมือนกัน แต่สถานะของผู้ให้กู้กับผู้ค้ำไม่เหมือนกัน แต่ก่อนที่จะให้กู้ รัฐควรจะให้การบินไทยขอเข้าแผนฟื้นฟูตามกระบวนการของกฎหมายล้มละลายก่อน เพราะภายใต้แผน ผู้ให้กู้รายสุดท้ายมีอำนาจต่อรองสูง สามารถล้มเลิกสิทธิประโยชน์อดีตพนักงานและต่อรองกับสหภาพได้ดีกว่า เรียกได้ว่าสามารถผ่าตัดใหญ่ได้มิฉะนั้นจะกลายเป็น “ตำน้ำพริก โปรยทิ้งบนท้องฟ้า”
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า แสดงความคิดเห็นว่า
“ผมเห็นด้วยกับการฟื้นฟูการบินไทยให้เป็น“บริษัทชั้นนำ” ของประเทศ แต่หากจำเป็นต้องอุ้มด้วยเงินภาษี ข้อแลกเปลี่ยนคือ 1.การบินไทยต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 2.ผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้เดิมต้องแบ่งรับภาระความเสียหายเงินภาษีที่จะใช้ต้องมีสิทธิเหนือเงินส่วนอื่นทั้งหมดในบริษัท”
นายกรณ์กล่าวว่า ก่อนโควิด การบินไทยก็มีสถานะทางการเงินที่ร่อแร่อยู่แล้ว ขาดทุนปีละกว่าหมื่นล้าน ทั้งๆที่ตั๋วโดยสารแพงกว่าคนอื่น แถมอัตราผู้โดยสารก็อยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรฐานบริการที่ดี แต่เมื่อโลกมีวิกฤติ เราต้องวิเคราะห์กันต่อว่าหลังโควิดจะเป็นอย่างไร?
จำนวนผู้โดยสารจะลดลงเท่าไร และบริษัทจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างไรถึงจะอยู่รอด ลำพังเพียงการบริการที่ดีไม่สามารถช่วยบริษัทได้ แต่ต้องมีระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพด้วย
ความเป็นจริงทางการเงินสถานะวันนี้ของการบินไทยจะเรียกว่า “เจ๊ง” ก็ไม่ผิดครับ เพราะทุนติดลบ เงินสดก็ติดลบ (ซึ่งแม้รวมวงเงินกู้ทั้งหมดที่มี ก็ยังไม่พอใช้เกินสิ้นเดือนหน้า) ดังนั้น ตามปกติ หากใครจะใส่เงินเข้าบริษัทเพิ่มเติมเขาต้องตั้งคำถามกับผู้บริหารผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้เดิมว่า “แล้วพวกคุณจะช่วยรับภาระอย่างไร?”
คงไม่มีใครให้เงินเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของหุ้นเงินกู้ หรือการค้ำประกันเงินกู้ (โดยเฉพาะถ้าเงินนั้น เป็นเงินภาษีประชาชน)
ทาง IATA (ไออาต้า สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ) ประมาณการว่า รายได้ธุรกิจการบินทั่วโลกจะลดลง55% ในปี 2563 และจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้น และล่าสุดสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ประกาศลดพนักงาน 12,000 คนหรือ 30% ของพนักงานทั้งหมด ส่วน สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ (SAS) มีแผนลดพนักงาน 5,000 คน
ท่านนายกฯบอกว่าการอุ้มครั้งนี้ “เป็นครั้งสุดท้าย”ผมมองว่า น่าจะเป็นเพราะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดที่จะให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 50,000 ล้าน อย่างกว้างขวาง ซึ่งหากท่านนายกฯจะช่วยจริงๆ ท่านควรต้องยืนยันชัดๆ ให้ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้ทุกคนมีส่วนช่วยลดภาระของบริษัทลงด้วย
นายกรณ์กล่าวว่า “ผมขอยกตัวอย่างกรณีที่นอร์เวย์รัฐบาลเขาได้กำหนดสัดส่วนทุนต่อหนี้ขั้นต่ำไว้ที่ 8% เป็นเงื่อนไข ก่อนที่รัฐจะยอมค้ำประกันหนี้ใหม่ให้ เจ้าหนี้เดิมจึงต้องยอมแปลงหนี้เป็นทุน และนอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขให้ผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มทุนก่อนด้วย ทั้งหมดนี้เพื่อให้มีการแบ่งรับภาระ ไม่ใช่ได้เงินภาษีไปโดยไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งเป็นหลักการที่ไม่ถูกต้องนัก
...ท่านนายกฯคงทราบดีว่าปัจจุบันการบินไทยมีค่าใช้จ่ายอยู่เดือนละกว่า 1 หมื่นล้าน (โดยไม่มีรายได้) ดังนั้นหากไม่สามารถกลับมาสร้างรายได้โดยเร็ว หากไม่มีการปรับโครงสร้างทุนและหนี้สินของบริษัท วงเงิน 50,000 ล้านนี้ ไม่นานก็หมด ซึ่งก็จะกลายเป็นการสูญเสียเพิ่มเติมของรัฐอย่างสูญเปล่า
...ท่านนายกฯได้รับรู้ปัญหาการบินไทยมา 5 ปีแล้ว!! ท่านได้ตั้งคณะกรรมการซูเปอร์บอร์ดขึ้นมาเพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูการบินไทยและรัฐวิสาหกิจอื่นๆ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คณะนี้ยังแทบไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเลยด้วยซ้ำไป
...“ครั้งสุดท้าย” นี้จะมีอะไรแตกต่างอย่างไรครับ?
...คนไทยมีสิทธิได้รับคำชี้แจงว่าท่านนายกฯมีแผนอะไรที่จะทำให้การบินไทยดีขึ้นได้จริง
...เราทุกคนเฝ้ารอเพื่อเอาใจช่วย “การบินไทย”ในฐานะลูกค้าที่ซื่อสัตย์ แต่ในฐานะผู้เสียภาษีหากไม่มีความชัดเจนว่าการบินไทยจะฟื้นฟูอย่างไรรัฐบาลก็ไม่ควรเข้าไปแบกภาระเพิ่มเติม”
ด้าน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โพสต์ข้อความ
ลงบนทวิตเตอร์ระบุว่า
“หนี้การบินไทย 245,000 ล้านบาท สินทรัพย์ 257,000 ล้านบาท ขายทุกอย่างที่มีอาจไม่พอชำระหนี้ บินไทยจะกู้อีก 5 หมื่นล้านบาท ขอรัฐบาลช่วยค้ำประกัน กู้เองไม่ได้
ถึงแม้รัฐจะอยากรื้อการบินไทย คงทำยาก เพราะเป็นเพียงผู้ค้ำ
ปล่อยให้บินไทยล้ม แล้วรัฐเข้าอุ้มเต็มรูปแบบ พร้อมปรับโครงสร้างบินไทยใหม่หมด...ไหวไหม”
เรื่องนี้จึงอยู่ระหว่างการถกเถียงและให้ความเห็นจากรอบด้าน ว่ารัฐบาลควรตัดสินใจอย่างไร ที่จะสามารถ“กู้วิกฤติการบินไทย” โดยไม่บรรลัยที่ตัวรัฐบาล ซึ่งจะพานบรรลัยกันไปทั้งประเทศด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี