เพจ “Gossipสาสุข” ตั้งข้อสังเกตเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ก่อนที่ สมช. กับ ศบค. จะเห็นชอบให้คงการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 1 เดือน คือครอบคลุมต่อไปที่เดือนมิถุนายน จากเดิมที่จะสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคมนี้ เอาไว้ว่า
“...หากจำกันได้ ช่วงเวลาของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวที่ระบาดโรคนี้ของบ้านเรา อยู่ที่เกิน 100 คนต่อวัน ท่ามกลางการประเมินจากบรรดา “อาจารย์หมอ” ว่า หากไม่ใช้ “ยาแรง” จะมีผู้ติดเชื้อเกิน 3 แสนคน นำมาสู่มาตรการล็อกดาวน์ ปิดร้านอาหาร ปิดห้างสรรพสินค้า ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด และหลายจังหวัด ปิดพื้นที่ ตั้งจุดตรวจไม่ให้คนเข้า-ออก จนกว่าจะจัดการโรคนี้อยู่หมัด
...นอกจากยาแรง จะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้แล้ว สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ผลลัพธ์อีกด้านก็คือ ได้ทำให้เศรษฐกิจพังพาบไปโดยปริยาย คนหาเช้ากินค่ำ มนุษย์เงินเดือน เจ้าของกิจการ ร้านอาหาร-โรงแรม ไปจนถึงเจ้าสัว ล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าจากรายได้ที่กลายเป็น 0 ทันที ในช่วงของ พ.ร.ก. แต่ก็ยอมอดทนกลืนเลือด มากกว่าจะปล่อยให้มีการระบาดจนคุมไม่อยู่
...ถึงวันนี้ เริ่มมีการผ่อนปรน 2 ระยะ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สวนสาธารณะ คลินิก เปิดได้ (ภายใต้ข้อจำกัดร้อยแปด) เหตุเพราะจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันที่เหลือ 0 คน 1 คน 5 คน ติดต่อกันหลายสัปดาห์ การระบาดในชุมชนเป็นวงกว้างไม่มีอีกแล้ว คลัสเตอร์ใหม่ก็ไม่มี ชายแดนยังคงปิดเข้ม คนที่เข้า-ออกประเทศต้อง “กักตัว” ในสถานที่ที่รัฐจัดให้โรงพยาบาลมีกำลังที่จะรักษาคนไข้ที่ยังป่วยอยู่ทุกอย่าง “ดูดี” เกือบทั้งหมด
...คำถามสำคัญก็คือยังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเคอร์ฟิวค้างไว้ด้วยเหตุผลอะไร แล้วทำไม ยังต้องใช้มาตรการนี้คุมเข้ม ทั้งที่ไทยเองมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ให้อำนาจรัฐบาลจัดการโรคติดต่ออยู่แล้ว
...คำตอบที่เป็นทางการ อาจเป็นไปเพื่อการป้องกัน Second Wave หรือการระบาดระลอก 2 ที่อาจเกิดขึ้นได้จากประชาชน แห่ออกไปทำงาน คนแน่นขนัดระบบขนส่งมวลชน และออกมาสังสรรค์กันเต็มที่ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ไร้กฎหมายพิเศษเข้าไปควบคุม ในที่สุดก็อาจเกิดการระบาดระลอก 2 เหมือนอย่างในเกาหลี เมื่อไม่กี่วันก่อน
...แต่ ณ ช่วงเวลานี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น การจัดการภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.นั้นหลายอย่างสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้ “อำนาจพิเศษ”การขอให้คนไม่รวมตัวกันเกิน 5 คน 10 คน หรือการบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ในร้านอาหาร ในสถานประกอบการต่างๆ หรือแม้กระทั่งการ “สั่งปิด” สถานที่เสี่ยงสั่งไม่ให้ไฟลท์บินเข้า-ออกประเทศ สั่งปิดทางเข้า-ออกจังหวัด หรือสั่งปิดสถานที่ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ล้วนแล้วแต่ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อได้
...แล้วทำไมยังต้องมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน? คำตอบก็คือภายใต้พ.ร.ก.ฉบับนี้ นายกฯ มีอำนาจสูงสุดเหนือคณะรัฐมนตรี เหนือพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคุมกระทรวงสาธารณสุข จึงทำให้ “แอ๊กชั่น” ได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจเจ้ากระทรวง และในช่วงที่เริ่มมีรอยแยกในรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐเอง การมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งนายกฯ มีอำนาจสูงสุด ย่อมทำให้รัฐมนตรี เกรงใจนายกฯ มากกว่าช่วงเวลาปกติ
...นอกจากนี้ ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ยังไม่ต้อง“รับผิดชอบ” ใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจหลายอย่างในช่วงเวลานี้ทำไม่ได้ ขณะเดียวกัน อีกอำนาจที่อาจจะ “มีค่า” มากๆ ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็คือการประกาศเคอร์ฟิว ซึ่งขณะนี้ เลื่อนไปไว้ที่ 5 ทุ่ม-ตี 5 ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามว่าการยังคงเคอร์ฟิวไว้อยู่ในช่วงที่มีคนติดเชื้ออย่างมากที่สุด 1 คน 2 คน นั้น ยังมีความจำเป็นมากขนาดไหน
...เอาเข้าจริง ในต่างประเทศที่มีการระบาดหนักหลายประเทศ ยังไม่มีการใช้อำนาจที่ “กึ่งเผด็จการ” มากขนาดนี้ เห็นจะมีก็แต่ อิตาลี สเปน บางรัฐของสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อ-ผู้เสียชีวิตมากจริง ใช้อำนาจเพื่อจัดการให้ได้เด็ดขาดที่สุด กับอีกกลุ่มคือหลายประเทศกำลังพัฒนาในแถบแอฟริกา ที่ประกาศใช้กฎหมายในลักษณะเดียวกัน โดยแฝงอำนาจทางการเมือง เพื่อ “กำราบ” ฝ่ายตรงข้าม
...และจนถึงวันนี้ ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะติดเชื้อ 100 คน หรือ 40-50 คน ก็คลายล็อกการบังคับใช้กฎหมายแบบนี้ เดินหน้าเข้าสู่ระยะ “ผ่อนปรน” แล้ว ไม่ได้หลงเหลือความจำเป็นในการจำกัดสิทธิ์ผู้คนด้วยกฎหมายแบบนี้อีกต่อไป เพราะในแง่จิตวิทยา การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ก็หมายความว่าสถานการณ์ยัง “อันตราย” ไม่เป็นผลดีเท่าไรนักกับเศรษฐกิจ และไม่เป็นผลดีอะไรกับนักลงทุน ที่เห็นว่ายังมีกฎหมายนี้ค้ำคออยู่
...ดูจากท่าทีล่าสุด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน น่าจะยังไม่ไปไหนคำสั่งผ่อนปรนเปิดสถานที่เพิ่มเติม ของศูนย์โควิด-19 ล่าสุด ยังคงอ้างอิง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเต็มที่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยังอยู่กับเรา จนถึงวันที่มีการผ่อนปรนระยะต่อไป รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย วิษณุ เครืองาม บอกว่าจำเป็นต้องใช้ เพื่อไม่ให้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค แต่ละจังหวัด “ลักลั่น” กัน เลยต้อง มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำกับอีกขั้น
...เพราะฉะนั้น เมื่อรัฐบาลรู้สึกว่า “อุ่นใจ” สามารถกระชับอำนาจได้เต็มที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงน่าจะอยู่กับเราต่อไป ไม่หายไปไหนง่ายๆ ทั้งที่มีกฎหมายอื่นอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลเรื่อง “การเมือง” ล้วนๆ ไม่ใช่เรื่อง “การแพทย์” อีกต่อไป”
โดยสรุป เพจนี้ฟันธงลงไปว่า
ก) มีกฎหมายอื่นที่ใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้
ข) แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะถูกใช้แน่ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลทางสาธารณสุข แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง!!
ต่อมา นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ชี้แจงถึงความจำเป็นในการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2563 โดยให้เหตุผลว่า
1.ยังคงมีความจำเป็นและต้องมีการบังคับใช้ พ.ร.ก.โดยการป้องกันการแพร่ระบาดในราชอาณาจักรของโรคโควิด-19 จะต้องสามารถดำเนินการต่อไปให้ได้อย่างมีเอกภาพ รวดเร็ว มีความต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานกลาง ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นั้น มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกว่า 40 ฉบับ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับเดียวไม่สามารถจัดการได้อย่างเพียงพอ เพราะมีทั้งเรื่องการรักษา การเรื่องติดเชื้อ โรงพยาบาล การเดินทางข้ามพื้นที่ การเดินทางเข้า-ออกต่างประเทศ การใช้พาหนะ อากาศยาน การตรวจคนเข้าเมือง อื่นๆ อีกจิปาถะ ดังนั้น การบริการจัดการจึงต้องเป็นเอกภาพภายใต้การบังคับใช้ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
2.การเตรียมการรองรับในระยะต่อไป ประเทศไทยอยู่ระหว่างการกำหนดมาตรการการผ่อนคลายในระยะที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นกิจกรรมและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
จึงจำเป็นต้องมีมาตรการตามกฎหมาย เพื่อกำกับการบริหารจัดการเพื่อบริหารจัดการมาตรการผ่อนคลายอย่างให้เป็นระบบในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตรงนี้มีความสำคัญมากเพราะว่าประเทศไทยอยู่ในระหว่างการกำหนดมาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2 ระยะที่ 3 และระยะที่ 4 ดังนั้น ถ้าเทียบระหว่างระยะที่ 3-4 กับระยะที่ 1-2 นั้น ถือว่าระยะที่ 3-4 มีความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งแม้ตอนนี้ยังพอใจกับตัวเลขติดเชื้อเป็น 0 หรือ 1-2 ราย แต่เมื่อไหร่ที่กลับไปเป็นระยะที่ 3-4 กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงจะปรากฏอยู่ตรงนี้ หลายคนจึงกังวลใจ ระยะที่มีความเสี่ยงต่ำ แม้หย่อนมาตรการก็ยังพอเอาอยู่ แต่เมื่อระยะที่มีความเสี่ยงสูงเปิดไฟเขียวหมด แต่มีการหย่อนมาตรการ พฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆ ก็จะกลับมาดังนั้น ต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาบริการจัดการให้เกิดความสมดุลเพื่อจัดการให้เป็นไปตามมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 3 - 4
3.สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคยังคงไม่สิ้นสุด โดยมีข้อมูลว่าหลายประเทศยังคงมีการระบาดและมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง และเมื่อประเทศไทยได้จัดทำมาตรการผ่อนคลายครบทั้ง 4 ระยะแล้ว จำเป็นจะต้องมีระยะเวลาเพื่อเตรียมพร้อมในการเปิดประเทศ อาทิ มาตรการด้านกฎหมายแผนปฏิบัติการในการบริหารวิกฤติเพื่อรองรับกับความเสี่ยงที่อาจมีการกลับมาแพร่ระบาดของโรค
“วันนี้เราอยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งจะหมดประมาณสิ้นเดือนนี้ ถ้าเราบอกว่ายกเลิกเถอะ พอแล้ว เราอยากจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ถึงตอนนั้น ถ้าไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เราจะเข้าสู่ระยะที่ 4 อย่างมั่นใจได้อย่างไร ถึงแม้เราจะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นที่สุด เพียงแต่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เรามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุกๆ ท่านก็เข้าใจเหมือนกันว่าเราทำไปเพื่อทุกๆ ท่าน และทุกๆ ท่านก็ทำเพื่อคนที่ท่านรักแล้วที่สุดแล้วเราก็ทำเพื่อประเทศไทยประสบความสำเร็จจนมาถึงตอนนี้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ทุเลาเบาบางลงไปมากแล้ว ตามคำแถลงของโฆษก ศบค. แต่ทว่ารัฐบาลก็ยังคงใช้อำนาจโดยไม่มีการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว ม.11วรรคท้าย ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เมื่อเหตุการณ์ตามเหตุผลที่ประกาศได้ยุติลงแล้ว ให้นายกรัฐมนตรียกเลิกประกาศโดยเร็วนั้น
การที่นายกรัฐมนตรีออกประกาศและข้อกำหนดต่างๆ ตาม ม.9 เป็นการกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ แต่กลับมีการเขียนกฎหมายในลักษณะที่เป็นการตัดอำนาจศาลปกครองในการเข้าไปพิจารณาคดี ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะข้อกำหนดที่ออกมาบังคับใช้ตามกฎหมายเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นข้อพิพาททางปกครอง แต่กลับไปเขียนกฎหมายไม่ให้ศาลปกครองพิจารณา ตามที่ระบุไว้ใน ม.16 ที่ว่า “ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง”
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ม.197 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันเนื่องมาจากการใช้อํานาจ ทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดําเนินกิจการทางปกครอง” ประกอบ ม.3 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม” และ ม.5 บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะนำมาบังคับมิได้
แต่การที่รัฐบาลประกาศและต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีเงื่อนไขกำหนดว่าจะจบลงอย่างไรหรือทีท่าว่าจะยกเลิกประกาศไปเมื่อใด และข้อกำหนดต่างๆ ซึ่งถือว่า เป็นกฎทางปกครองอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ที่ออกมาบังคับใช้มีลักษณะของการ “เลือกปฏิบัติ” หลายประการย่อมชี้ให้เห็นว่า เป็นการใช้อำนาจที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม สร้างความเดือดร้อนและเสียหายต่อประชาชนหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งควรที่จะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้สิทธิในการนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ เพื่อจะได้เป็นข้อยุติว่า การใช้อำนาจนั้นๆ ของรัฐบาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่กลับมีการเขียนกฎหมายเพื่อตัดอำนาจหรือขจัดอำนาจของศาลปกครองไปเลย ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมฯจึงจะนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ม.16 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 ม.197 หรือไม่ โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.63 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ห้อง 903 ศูนย์ราชการฯ อาคาร B
สรุป :
1) พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกมองจาก ศบค. ว่า เป็นเครื่องมือที่ยังจำเป็นต้องใช้ เพื่อให้อำนาจในการสั่งการเพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังมีประสิทธิภาพ ฉับไว คุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ผู้คนได้ โดยจะชดเชยด้วยมาตรการการผ่อนปรนเป็นระยะๆ ไป เพื่อให้ประชาชนทยอยมีกิจวัตรให้ใกล้เคียงความเป็นปกติเดิมให้มากที่สุด
2) แต่บางฝ่ายมองว่า หมดเวลาของการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยอ้างการระบาดของโรคได้แล้ว ให้ใช้กฎหมายอื่นทดแทน เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน อย่าแอบอ้างภาวะโรคระบาดไปแก้ปัญหาทางการเมืองของตัวเอง
3) ทางออกของเรื่องนี้ คือให้ทุกคนพูดให้ตรงประเด็น ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กระทบกับเรื่องอะไร สร้างปัญหาใด และปัญหานั้นจะแก้ไขอย่างไร เพราะยังไม่เห็นใครชี้ได้ชัดๆ เป็นรูปธรรม ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินสร้างปัญหาอะไร ยกเว้นเรื่องการชุมนุมทางการเมือง ที่กลัวอำนาจตามกฎหมายนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พรบ.โรคระบาดก็ห้ามการรวมตัวกันของผู้คนได้ เพียงแต่การจัดการหากมีการละเมิด อาจยุ่งยากมากขั้นตอน และซับซ้อนกว่า
4) อย่าให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็น “เทวาหรือซาตาน” แต่จงอธิบายว่ามันเอามาแก้ปัญหาอะไรได้และสร้างปัญหาอะไรขึ้น หากปราศจากซึ่งการอธิบายที่เป็นรูปธรรม และรวมสมองกันหาวิธีแก้ไขปัญหานั้นๆ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็จะถูกอธิบายแบบ “เกินจริง” ไปเรื่อยๆ
ซึ่งหากยังไม่มีการ “หันหน้ามาคุยกัน” อย่างเป็นเหตุเป็นผล คงต้องเป็นหน้าที่ของ “สภาผู้แทนราษฎร”ที่กำลังจะ “เปิดประชุม” ต้องเชิญผู้มีหน้าที่มา“ตอบกระทู้” ให้รู้ความ โดยถามและตอบกันแบบเนื้อๆ ประเภทน้ำลายท่วมทุ่ง ผักบุ้งเน่าตาย ไปกับน้ำลายเลอะเทอะไม่เอาครับ
ถามไปเลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สร้างปัญหานี้ให้เกิดขึ้น ท่านจะแก้ปัญหานี้อย่างไร จบ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี