กรณีการรื้อบ้านไม้โบราณ “บอมเบย์ เบอร์ม่า” อายุกว่า 130 ปี ที่จังหวัดแพร่
ประเด็นสำคัญ คือ
1. การกระทำที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วนั้น ก่อให้เกิดความเสียหาย เป็นการกระทำผิดตามกฎหมาย หรือไม่?
หากอ้างว่าซ่อมแซม จะต้องพิจารณาว่า ผู้เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดการกับโบราณสถาน (แม้มิได้ขึ้นทะเบียน) หรือไม่?
เพราะต่อให้อาคารดังกล่าวชำรุดทรุดโทรมจริง ก็จะต้องดำเนินการซ่อมแซมอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่สามารถจะไปรื้อแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ได้แต่อย่างใด
ใครจะต้องรับผิดชอบ อย่างไร?
2. ไม้ และบรรดาทรัพย์สินมีค่า ถูกจัดเก็บอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ในลักษณะเพื่อเตรียมนำมาประกอบใหม่ตามหลักวิชาการบูรณะอาคารไม้โบราณ หรือไม่?
ถ้าไม่ ก็จะบ่งชี้เจตนาว่า ต้องการจะรื้อของเก่าทิ้งตั้งแต่ต้น หรือไม่?
ใครจะต้องรับผิดชอบ อย่างไร?
3. จะมีแนวทางการฟื้นคืนอาคารไม้โบราณดังกล่าวอย่างไร? โดยใคร?
กระบวนการทำงานจะให้หลักประกันความเชื่อมั่นแก่ประชาคมชาวแพร่ และประชาชนชาวไทยได้อย่างไรว่า จะรักษาคุณค่าเดิมเอาไว้มากที่สุด?
4. เมื่อวานนี้ สว.คำนูณ สิทธิสมาน ได้ตั้งกระทู้ถามสด เกี่ยวกับกรณีรื้อบ้านไม้โบราณดังกล่าว
ท่าน สว.คำนูณได้แสดงให้เห็นว่า สนใจติดตามปัญหานี้อย่างแท้จริง มิใช่ฉาบฉวย ตามกระแสเพราะได้นำเสนอข้อมูล มุมมองที่แหลมคม ประกอบการตั้งกระทู้สดด้วย
ในเฟซบุ๊ค Kamnoon Sidhisamarn ได้สรุปประเด็นสำคัญ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจมาก ดังนี้
“อาชญากรรมที่บ้านบอมเบย์เบอร์ม่า - รมว.ทส.ยอมรับผิด-ขอโทษประชาชนกลางวุฒิสภา
ตั้งกระทู้ถามด้วยวาจา (กระทู้สด) ไปแล้ว ขอขอบคุณท่านวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. ที่กรุณามาตอบ และขอโทษกลางสภาทั้งต่อเหตุสะเทือนใจที่เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงทส. ทั้งต่อการด่วนแถลงของตัวท่านเองหลังเกิดเหตุการณ์ขณะที่ข้อมูลยังไม่ครบถ้วนทำให้ถูกเข้าใจว่าปกป้องหน่วยงานและข้าราชการใต้บังคับบัญชา
ขอบอกเล่าข้อกฎหมายอีกครั้ง ณ ที่นี้
แม้การรื้อบ้านเก่าหลังหนึ่งจะไม่ใช่การฝ่าฝืนหลักธรรมชาติ มโนธรรม หรือหลักการสาธารณะทั่วไปของสังคมอารยะที่ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความชั่วร้ายโดยไม่ต้องถกเถียง ทำนองความผิดกฎหมายอาญาทั่วไปเช่นฆ่าคนตายก็ตาม แต่ที่ผมได้กล่าวว่าการรื้อบ้านที่เคยเป็นที่ทำการของบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าในอดีตคือการกระทำที่เป็น“อาชญากรรม” อย่างน้อยก็ในความหมายอย่างกว้าง ก็เพราะ...
เป็นการกระทำผิดกฎหมายที่มีบทบัญญัติเป็นข้อห้ามไว้ชัดเจน
โดยการฝ่าฝืนข้อห้ามนั้นมีโทษทางอาญาบัญญัติไว้ เป็นโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
และขณะนี้ความผิดนั้นสำเร็จแล้ว
กฎหมายที่ว่านั้นคือ...
“พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504”
.... ประเด็นหลักในกรณีนี้ก็คือความเป็น “โบราณสถาน” !
หลายต่อหลายคน โดยเฉพาะในกรณีนี้อาจจะรวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยังอาจรวมทั้งเจ้าหน้าที่จังหวัดแพร่ ยังคงเข้าใจว่าสถานที่ใดจะเป็น “โบราณสถาน” ก็ต่อเมื่อได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมศิลปากรแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเก่าแก่หรือมีความหมายอย่างไรหากอยู่นอกเขตขึ้นทะเบียนก็ไม่เป็น “โบราณสถาน” ดังนั้นบ้านบอมเบย์เบอร์ม่าที่อยู่นอกตัวเมืองนอกเขตอนุรักษ์เมืองเก่าจึงไม่อยู่ในข่าย “โบราณสถาน” ผมเคยได้ทราบว่าอดีตผู้อำนวยการสำนักฯนี้เคยให้สัมภาษณ์ไว้สั้นๆ ทำนองนี้เมื่อสองสามปีก่อน
ผิดโดยสิ้นเชิง !
ตามผมมาดูบทนิยามศัพท์คำว่า “โบราณสถาน”ในมาตรา 4 ของกฎหมายฉบับนี้กัน...
“โบราณสถานหมายความว่า อสังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี ทั้งนี้ ให้รวมถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ และอุทยานประวัติศาสตร์ด้วย...”
ไม่ได้มีข้อความตรงไหนระบุว่าต้อง “ขึ้นทะเบียน” เลยนะครับ
แม้กฎหมายฉบับนี้ในมาตรา 7 จะระบุให้อำนาจอธิบดีกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานได้ ก็เพียงก่อให้เกิดการแบ่งประเภทโบราณสถานเป็น “โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน” กับ“โบราณสถานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน” เท่านั้น
บ้านบอมเบย์เบอร์ม่าจะเป็นโบราณสถานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับว่าขึ้นทะเบียนหรือไม่ และไม่จำเป็นต้องให้ใครมาประกาศ
สำหรับผม และเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ทั้งชาวจังหวัดแพร่และชาวจังหวัดอื่นด้วย เห็นว่าเป็น “โบราณสถาน” แน่นอนครับ
เพราะเป็นทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการทำป่าไม้ขึ้นเป็นครั้งแรกในสยามประเทศ เป็นทั้งลักษณะการก่อสร้างลักษณะอาณานิคมที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกกับพื้นเมือง มีคุณค่าแก่การศึกษาในหลายสาขาวิชา ดังปรากฏให้เห็นว่ามีนักศึกษามาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับตัวบ้านอยู่
ประกอบกับอายุของบ้านก็อยู่ประมาณเกือบ 130 ปี
เมื่อเข้าใจร่วมกันว่าบ้านบอมเบย์เบอร์ม่าเป็น “โบราณสถาน” ทั้งตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ที่นี้ตามผมต่อมาครับ มาดูว่าการรื้อถอนในนามของการซ่อมแซมปรับปรุงที่เกิดขึ้น อาจเข้าข่ายฐานความผิดใด
อาจเข้าข่าย 2 ฐานความผิด
ฐานความผิดที่ 1 ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์
“มาตรา 10 ห้ามมิให้ผู้ใดซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทําลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถานหรือส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใดๆ หรือปลูกสร้างอาคาร ภายในบริเวณโบราณสถาน เว้นแต่จะกระทําตามคําสั่งของอธิบดีหรือได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี และถ้าหนังสืออนุญาตนั้นกําหนดเงื่อนไขไว้ประการใดก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นด้วย”
“มาตรา 35 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกําหนดไว้ในหนังสืออนุญาตตามมาตรา 10 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”
ย้ำอีกครั้ง-โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ โดยปรากฏข้อเท็จจริงตามสมควรว่าการรื้อถอนในนามของการซ่อมแซมบ้านบอมเบย์เบอร์ม่าครั้งนี้ จากการชี้แจงของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรระบุว่ายังไม่ได้รับรู้ชัดแจ้ง เพราะกำลังรอข้อมูลและแบบที่จะส่งมาให้จากหน่วยงานต้นเรื่องอยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหนังสืออนุญาต หรือกำหนดเงื่อนไขประการใดในหนังสืออนุญาตไว้ และไม่ได้เข้ามาร่วมกำกับการทำงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในขณะรื้อถอน
กรมศิลปากรเพิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องในพื้นที่หลังจากเกิดเหตุรื้อถอนและเป็นข่าวสะเทือนใจคนทั้งประเทศแล้ว
เรื่องนี้ชาวจังหวัดแพร่รู้ดีครับหลังจากมีการประชุมชี้แจงระหว่างหน่วยราชการต่าง ๆ กับเครือข่ายพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้เรียกร้อง ณ ศาลากลางจังหวัดแพร่ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 จนมีข้อสังเกตเชิงข้อสรุปออกมา 10 ประการ
โดยในประการที่ 1 และ 2 ฝ่ายดำเนินการโครงการอ้างในเบื้องต้นว่าบ้านบอมเบย์เบอร์ม่าไม่ใช่โบราณสถาน แต่สุดท้ายก็จำนนด้วยข้อกฎหมาย ส่วนเรื่องหนังสือถึงกรมศิลปากรก็มีการตอบอย่างอ้อมแอ้มไม่ชัดเจน
รายละเอียดมากกว่านี้หรือชัดเจนกว่านี้ต้องไปอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าพนักงานสอบสวน
หรืออย่างน้อยก็ในการศึกษาตรวจสอบของคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาหรือของสภาผู้แทนราษฎรที่มีอำนาจเรียกเอกสารได้
การสอบสวนระดับจังหวัดไม่เพียงพอ เพราะทางจังหวัดมีส่วนได้ส่วนเสียด้วยในฐานะเป็นผู้ลงนามอนุมัติโครงการ
...ที่สำคัญคือมาตรานี้ยืนยันชัดเจนว่าโบราณสถานมีทั้งประเภท “...ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน”และ “...ที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว”!
โดยกำหนดโทษการกระทำผิดต่อ “โบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว” มีโทษสูงกว่า
คงไม่ต้องสรุปอะไรมากไปกว่านี้นะครับ
มี “คดีตัวอย่าง” ให้เห็นกันมาหลัดๆ แล้ว ก็คดีหมายเลขดำที่ อท. 34/2562 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาลงโทษเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรโทษฐานรื้อถอนศาลารายและกุฏิอันเป็นโบราณวัตถุในวัดเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2562 นั่นไงล่ะครับ ใช้ฐานความผิดตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 10, 32 และ 35 ที่ยกมาให้ดูข้างต้น รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้วย ศาลลงโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท แต่จำเลยสารภาพ ศาลลดโทษจำคุกให้เหลือ 1 ใน 3 และให้รอการลงอาญาไว้ 1 ปี
คดีนี้ อธิบดีกรมศิลปากรเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่สน.บุปผารามตั้งแต่เมื่อปี 2558 สำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะทนายแผ่นดินเป็นโจทก์ฟ้อง
เข้าใจว่าขณะนี้ยังมีคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องอยู่ระหว่างการพิจารณา
การย้ายหัวหน้าสวนรุกขชาติเชตวันออกนอกพื้นที่ และตั้งกรรมการสอบสวน ตามที่รมว.ทส.ชี้แจงในวันนี้เป็นสิ่งที่ชอบแล้ว แต่รมว.วธ.ที่เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติจะมีนโยบายอย่างไรให้กรมศิลปากรดำเนินการ แค่ไปควบคุมกำกับการเยียวยาซ่อมแซม หรือให้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมกันไปด้วยเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้า เป็นประเด็นที่ท่านต้องตอบคำถามต่อประชาชนโดยตรงต่อไป
คำถามใหญ่กว่านี้คือ นายกรัฐมนตรีจะถือกรณีนี้เป็นจุดเริ่มต้นการแก้ปัญหาเยียวยาโบราณสถานประเภทที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากร และจำนวนมากอยู่ในความดูแลของหน่วยราชการต่างๆ อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี