“ที่นี่แนวหน้า” สัปดาห์นี้ขอนำบางส่วนจาก รายงานผล การประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยปี 2562 ซึ่งเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มานำเสนอกับท่านผู้อ่าน ทั้งนี้ สำหรับปี 2562 เป็นช่วงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปลี่ยนสถานะจาก “บิ๊กตู่” นายกฯ รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาเป็น “ลุงตู่” นายกฯ จากการเลือกตั้ง โดยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
ในรายงานฯ มีข้อสังเกตในประเด็น “อุปสรรคในการใช้สิทธิในการแสดงออกของประชาชน” ที่หลายกรณีคาบเกี่ยวกันระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 แบบของ พล.อ.ประยุทธ์ อาทิ 1.การแสดงความคิดเห็นบนอินเตอร์เนต เนื่องจากบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 14 หลายถ้อยคำ เช่น “บิดเบือน” ในมาตรา 14 (1) หรือคำว่า “ความปลอดภัยสาธารณะ” , “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ”และ “โครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ”ในมาตรา 14 (2) สามารถตีความได้อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ มาตรา 20 กรณีขอให้ศาลสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลออกจากระบบคอมพิวเตอร์นั้นมีถ้อยคำเชื่อมโยงไปถึง “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งถ้อยคำดังกล่าว “ไม่ปรากฏคำนิยามหรือคำจำกัดความในกฎหมายใด” และถ้อยคำที่มีลักษณะตีความได้กว้าง หรือถ้อยคำที่ไม่ชัดเจน อาจนำไปสู่การตีความไปในทางปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนจนเกินสมควร
2.การนำเสนอข่าวหรือความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนเนื่องจากบทบัญญัติใน พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 37 ว่าด้วยการห้ามนำเสนอเนื้อหาบางประเภท ซึ่งมีถ้อยคำ “ความมั่นคงของรัฐ” แต่คำดังกล่าวมีขอบเขตเนื้อหากว้างขวาง ดังนั้นในรายงานฯ จึงมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการจำกัดให้ชัดเจนว่าเนื้อหาแบบใดเข้าข่ายสร้างความเกลียดชัง หรือยั่วยุปลุกปั่น
3.การชุมนุมโดยสงบของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐ เช่น กรณีชุมชนทั้งในชนบทและในเมืองถูกไล่รื้อ หรือโครงการพัฒนาต่างๆ ที่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ กฎหมายฉบับหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุค คสช. และยังมีผลบังคับใช้ถึงปัจจุบันคือ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีปัญหา เช่น การตีความเรื่องการชุมนุมรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานที่สาธารณะโดยมีแนวโน้มที่เป็นอุปสรรคต่อการชุมนุมและสร้างภาระให้แก่ผู้ชุมนุม เนื่องจากหากผู้ชุมนุมไม่เห็นด้วยต้องยื่นอุทธรณ์
โดยในระหว่างอุทธรณ์กฎหมายกำหนดให้ต้องยุติการชุมนุมไว้ก่อน ถ้าหากผู้ชุมนุมไม่ยุติการชุมนุมก็จะส่งผลให้การชุมนุมนั้นกลายเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้ผู้ชุมนุมเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาแม้ว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญก็ตาม อีกทั้งกรณีที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจในการสั่งกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับสถานที่ชุมนุม เนื้อหา รูปแบบวิธีการ ตลอดจนสื่ออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการชุมนุมซึ่งอาจเป็นการกระทำเกินกว่าอำนาจตามกฎหมายและละเมิดต่อเสรีภาพการชุมนุม
ทั้งนี้ รายงานฯให้ข้อสรุปในประเด็นสิทธิในการแสดงออกของประชาชนว่า “รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ” ซึ่งเป็นช่องทางที่ทำให้รัฐบาลได้รับทราบความเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายต่างๆ และผลกระทบต่อประชาชนเพื่อนำไปประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ทั้งนี้ การจำกัดการใช้เสรีภาพ ดังกล่าวควรทำเท่าที่จำเป็นและเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในกติการะหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
อีกทั้ง “รัฐบาลควรลดข้อห่วงกังวลของประชาชนเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติเป็นการจำกัดการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบอันเกิดจากการตีความและการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย” ดังปัญหาที่พบในกฎหมายทั้ง 3 ฉบับข้างต้น โดยอาจพิจารณาจัดทำแนวปฏิบัติที่ชัดเจนแก่ผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือปรับปรุงแนวปฏิบัติที่มีอยู่แล้วให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อลดการใช้ดุลพินิจและเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
นั่นคือคำแนะนำของรายงานฯ ที่ทาง กสม. วิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปีก่อน ซึ่งท่านที่สนใจรายงานฉบับเต็มของกสม. สามารถเข้าไปอ่านได้ที่เว็บไซต์ www.nhrc.or.th เลือกหมวด “ผลการดำเนินงาน” ตามด้วย “รายงานประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” แต่ล่าสุดในปี 2563 นี้ที่รัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
ซึ่งแม้จะมีเป้าหมายควบคุมโรคระบาด ในทางปฏิบัติยังพบว่าภาครัฐฉวยโอกาสช่วงที่ประชาชนไม่สามารถรวมกลุ่มหรือเดินทางได้สะดวกผลักดันโครงการที่ต้องการเดินหน้า โดยในการเสวนาออนไลน์หัวข้อ “เหตุผลสำคัญที่ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เดี๋ยวนี้” ซึ่งจัดโดยกลุ่ม People GO Network เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2563 มีผู้ร่วมเสวนา2 ท่าน ที่ยกตัวอย่างผลกระทบของคนระดับรากหญ้า
อาทิ จำนงค์ หนูพันธ์ ตัวแทนเครือข่ายสลัมสี่ภาคกล่าวถึงกรณี “กรุงเทพมหานคร (กทม.) ระดมกำลังเจ้าหน้าที่เข้ารื้อตลาดลาวคลองเตย” โดยอาศัยช่วงเวลาที่ประชาชนถูกสั่งห้ามออกจากบ้าน (เคอร์ฟิว) เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในคืนวันที่ 3 พ.ค. 2563 และทำให้ กทม. ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กระทั่งในเวลาต่อมาทาง สำนักงานเขตคลองเตย ต้องประกาศชะลอแผนดังกล่าวออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จะคลี่คลาย
เช่นเดียวกับ สุภาภรณ์ มาลัยลอย ตัวแทนเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างกรณี“การก่อสร้างเขื่อนกั้นคลื่นบริเวณหาดม่วงงาม จ.สงขลา” ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. 2563 ในขณะที่ฝ่ายรัฐเริ่มตอกเสาเข็ม แต่ประชาชนที่กังวลผลกระทบกลับถูกสั่งห้ามเข้าพื้นที่ ทั้งที่เป็นพื้นที่สาธารณะและทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ อันเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ สุดท้ายต้องไปรวมตัวหน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา เพราะแม้จะเสี่ยงทำผิดกฎหมายแต่หากพื้นที่หาดเสียไปชีวิตก็เดือดร้อนอยู่ดี
ดังนั้นนอกจากระยะยาวจะต้องแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ ที่ กสม. ให้ข้อสังเกตว่าเป็นปัญหาแล้ว ในระยะสั้นคงต้องย้ำกันอีกครั้งโดยขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยกำชับเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย ในการใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอย่าได้ขัดขวางการชุมนุมโดยสงบจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และอย่าได้อาศัยโอกาสที่ผู้คนกลัวโรคระบาดผลักดันโครงการโดยไม่ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของประชาชน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี