หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรค มีการสร้างกระแสเคลื่อนไหวกดดันในโลกออนไลน์อย่างคึกคัก ติดแฮชแท็ก บอยคอตต์คนโน้นคนโน้นคนนี้ ปั่นข้อมูลกันมากมายในโลกออนไลน์ แต่พลังในโลกความจริงกลับไม่มีผลเหมือนที่ดูใหญ่โตในโลกออนไลน์
ยกตัวอย่าง
กรณีบอยคอตต์หนังมู่หลาน แต่ยอดรายได้พุ่งทะยาน ยืนหนึ่ง และอาจเป็นหนังที่ทำรายได้ทะลุร้อยล้านเรื่องแรกในปีนี้ ขณะที่ “ดูหนังไล่ลุง” ที่นายปิยบุตรแสงกนกกุล อุตส่าห์ออกโรงก่อนหน้านี้ เพื่อจะช่วยอุดหนุนหนังของนายยุทธเลิศกลับแป้กไม่เป็นท่า เพราะหนังเจ๊งยับเยิน การติดแฮชเท็กกันเยอะๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
กรณีแบนห่อหมกแม่คุณม้า-อรนภา แต่ยอดขายกระฉูด ยอดสั่งซื้อแน่นขนัด ทำไม่ทัน
กรณีสินค้าบางตัว เช่น ขนมปังบางยี่ห้อ นมบางยี่ห้อ มีการมาเล่นกับการตลาดเลือกข้างฝ่ายชุมนุม หวังจะขายดิบขายดีเทน้ำเทท่า แต่สุดท้าย ก็เทจริงๆ คือ เททิ้งเจ้าหน้าที่ของตัวเองที่ไปเล่นกับกระแสดังกล่าว สะท้อนว่า ไม่ได้ช่วยเรื่องยอดขายในโลกความเป็นจริง
กรณีบอยคอตต์ทีวีช่องเนชั่น เลิกดูเนชั่น แต่เรตติ้งของช่องเนชั่นกลับสูงขึ้นด้วยซ้ำ
กรณีบอยคอตต์ดาราคนดังที่ไม่ประกาศหนุนฝ่ายผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน โดยอ้างว่าขับไล่เผด็จการ ปรากฏว่า กระแสนิยมในตัวดาราคนดังแต่ละคนก็ไม่ได้ลดลงเลย เพียงแต่บางคนถูกต้นสังกัดตัดสินใจให้ยุติการทำงานเสียเอง (ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบได้)
กรณีติดแฮชแท็กต่อต้านเผด็จการ สนับสนุนกิจกรรมชุมนุมต่างๆ ในโลกออนไลน์จะคึกคักมาก ใหญ่โตมาก แต่การลงชื่อเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ หรือเสนอกฎหมายของฝ่ายต้านรัฐบาล ที่จะใช้คนเพียง 50,000 รายชื่อ กลับปรากฏว่ายากเย็นยาวนานมาก ล่าสุด (เช้าวันที่ 8 ก.ย.) ยังได้รายชื่อไม่ครบ 5 หมื่นคน
ฯลฯ
ทั้งหมดนั้น น่าสงสัยว่า เกิดจากอะไร?
กระแสใหญ่โตในโลกโซเชียล จนกระทั่งทำให้บางคนตกใจ ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงจุดยืนที่ขัดใจกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เพราะกลัวถูกรุมบูลลี่ ถูกรุมประณาม รุมด่าแบบไม่มีเหตุผล หรือกระทั่งถูกรุมรีพอร์ทผ่านระบบเฟซบุ๊ค เกิดมาจากไหน และจริงแท้แค่ไหน มีใครใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อกดดัน กดปุ่ม เพียงเพื่อต่อยอดขยายผลทางการเมือง หรือไม่
1. เสียงโซเชียลปั่นกระแสข้อความการเมือง ถูกส่งมาจากต่างประเทศ
น่าสนใจมาก... เมื่อสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL)เปิดเผยผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ผ่านระบบ Net Super Poll ในการศึกษาแนวโน้มความเคลื่อนไหว “สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส” เปรียบเทียบกับ “ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส”
พบว่า ข้อมูลกระแสในโลกโซเชียล จำนวนกลุ่มผู้ใช้งานที่ค้นพบในความเคลื่อนไหวต่อข้อความการเมืองว่า ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส ที่เคยปั่นยอดสูงสุดในวันที่ 8 สิงหาคม มีมากถึง 12.4 ล้านผู้ใช้งาน แต่พบว่า มาจากผู้ใช้งานในประเทศไทยเพียงร้อยละ 11.3 เท่านั้น ที่เหลือมาจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ส่วนข้อความการเมือง “สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส” ที่เพิ่งรณรงค์ออกมาล่าสุดมีเพียง 1,684,542 ผู้ใช้งานในโลกโซเชียล พบว่า มาจากประเทศไทยเพียงร้อยละ 11.6 หรือประมาณแสนกว่าคนเท่านั้น ที่เหลือมาจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ที่น่าสนใจคือ ข้อความการเมือง สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส พบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.4 เป็นตัวบุคคลผู้ใช้งาน เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ข้อความการเมือง ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส พบผู้ใช้งานส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.6 เป็นองค์กร
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ประชาชนคนไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระแสข้อความการเมือง เช่น ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส และ ข้อความการเมืองที่ว่า สู้เป็นไทถอยเป็นทาส ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ มีในประเทศไทยเพียงร้อยละ 10 ต้นๆ เท่านั้นของประชากรทั้งหมดที่พบความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล
2. เพจ The METTAD ได้เปิดให้เห็นธุรกิจปั่นกระแสในโลกออนไลน์
ว่าด้วยเรื่อง “ทำไมความเคลื่อนไหวในโซเชียลไทย ถึงมาจากต่างชาติเกือบ 90%” โดยเปิดเผยข้อมูลจากคนในแวดวงเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ยุคใหม่ ระบุว่า
“ในแวดวงดิจิทัลเอเจนซี่ ทำการตลาดออนไลน์ มันจะมีพวกที่ทำธุรกิจขายยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิว ยอดแฮชแท็ก ครับ ซึ่งจะเอาไว้ปั่นอะไรต่างๆ เพื่อให้เกิดกระแส
จริงๆ มันมีข้อเสียอยู่นะครับ สำหรับในส่วนของยอด like เพจ เพราะแบรนด์ที่ทำการตลาดด้วยการปั่นยอด like เนี่ย จะทำให้เพจไม่ได้ฐานลูกค้าที่แท้จริงเพราะพอลอง analysis ดู จะเจอไอดีแขกจากต่างประเทศเพียบ ทำให้วิเคราะห์ทางการตลาดไม่ได้เลย จึงเป็นผลเสียต่อแบรนด์ในระยะยาว เอเจนซี่ที่ดีเขาจะไม่แนะนำให้ลูกค้าทำครับ
แต่ในส่วนของการปั่นแฮชแท็ก ผมมองว่า ยอดพวกนี้ มันมีผลทางการตลาดในระยะสั้น คือกระตุ้นให้คนเกิดความสนใจ แล้วแฮชแท็กพวกนี้มันอยู่ได้ไม่เกิน 2 วันก็ซา มาวูบนึง แล้วก็หายไป
ทีนี้จะทำยังไงให้การกระตุ้นระยะสั้นมีผลนานขึ้น ถ้าลองวิเคราะห์ดูดีๆเราจะเห็นว่า หลังการปั่นแฮชแท็ก จะมีสื่อหลักที่เตรียมนำไปปลุกปั่นต่อ อันนี้เรียกว่า ทำข้อมูล fake ให้มีน้ำหนักขึ้นด้วยการใช้สื่อหลักฝังชุดข้อมูล ( ก็ลองไปดูละกันครับว่า สื่อไหนที่ชอบหยิบเรื่อง แฮชแท็ก ไปเล่นบ่อยๆ มันระบุชัดว่าสื่อนั้นกับกลุ่มเคลื่อนไหวเขาทำงานสอดประสานกัน)
ข้อเสียของมันก็มีนะครับ เพราะเป็นการสร้างกระแสปลอมขึ้นมา อย่างที่เราเห็นกันว่า มีบางแบรนด์หลงติดกับ ไปสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวตามกระแสแฮชแท็ก แล้วประเมินผิดจนแบรนด์ขนมปังปิ๊นาศ
ข้อเสียในภาพใหญ่ก็มีเช่นกัน เพราะแฮชแท็กพวกนี้มีเป็นล้านๆ แต่พอลงสนามเลือกตั้งจริงๆ ผลก็ออกมาตรงข้ามทุกครั้ง
ดังนั้น ข้อมูลที่ว่า การเคลื่อนไหวแทรกแซงจากต่างประเทศ 90%ผมจึงมองว่า น่าจะเป็นทีมเอเจนซี่คนไทยที่รับงานปลุกกระแสในโซเชียล โดยไปจ้างทีมปั่น ที่เอาพวกปั๊มไลค์ ปั๊มแฮชแท็กที่เป็นคนต่างประเทศเข้ามาแจมซะมากกว่าครับ” #ทีมการตลาดแคปทัน ฝากมาครัช”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี