ครม.นัดแรก 12 ตุลาคม 2563 หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” พุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนำทีมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พบปะสื่อมวลชนหลังการประชุม แจกแจงมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
การประชุม ครม.วันนั้น มีประเด็นหารือ พิจารณา และมีมติ ในเรื่องสำคัญลำดับแรกของบ้านเมืองเวลานี้ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ประมวลให้เห็นภาพ ดังนี้
1. สัญญาณเศรษฐกิจโลก ดีขึ้น
ในที่ประชุม ครม. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานข้อมูลระบุว่า หลายประเทศในโลกเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการการปิดสถานที่และควบคุมการเดินทาง ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global PMI) ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือน (นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2562)
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2563 มีสัญญาณของการฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการใช้จ่ายและด้านการผลิต โดยเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญๆ มีแนวโน้มหดตัวน้อยลง อาทิ มูลค่าการส่งออกสินค้า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและดัชนีการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งจำนวนบริษัทที่ขอปิดกิจการ นอกจากนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐโดยเฉพาะในส่วนของงบลงทุนยังขยายตัวสูง
สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศพบว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมเฉลี่ยทั่วประเทศในเดือนสิงหาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน)
ข้อมูลด้านแรงงาน พบว่า เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เห็นได้จากจำนวนผู้ใช้สิทธิตามมาตรา 75 (กรณีหยุดงานชั่วคราวเหตุไม่สุดวิสัย) ลดลงต่อเนื่อง
ข้อมูลนี้ สอดคล้องกับรายงานของไอเอ็มเอฟ (IMF) ล่าสุด คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้หดตัว 4.4% (จากเดิมคาดว่าจะหดตัวถึง 4.9%)
2. ข้อเสนอมาตรการเศรษฐกิจรายสาขาจากภาคเอกชน
ในการประชุม ครม. ได้รับทราบข้อเสนอจากภาคเอกชน 6 ข้อ เสนอโดยคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และสนับสนุนเศรษฐกิจรายสาขา ภายใต้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ซึ่งหลายมาตรการรัฐบาลได้ดำเนินการไปบางส่วนแล้ว ประกอบด้วย
(1) เพิ่มสภาพคล่องธุรกิจ อาทิ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และจัดตั้งกองทุนพิเศษ การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ การขยายเวลาชำระหนี้สำหรับธุรกิจ การขยายการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และการปรับโครงสร้างหนี้
(2) ลดต้นทุนและภาระค่าใช้จ่าย อาทิ การลดภาษี การยกเว้นการจัดเก็บภาษี การให้นำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษี การลดหรือการยกเว้นค่าปรับและค่าธรรมเนียมของภาครัฐ การเร่งรัดการจ่ายเงินภาครัฐ การขยายสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายในการขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การพัฒนาแรงงาน
(3) กระตุ้นตลาดและการใช้จ่ายของผู้บริโภค อาทิ การสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand) ให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมด้านการตลาดและการใช้จ่าย
(4) รักษาการจ้างงานและยกระดับฝีมือแรงงาน อาทิ การรักษาการจ้างงาน และการพัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงาน
(5) กระตุ้นการลงทุนของนักลงทุนไทยและต่างชาติ อาทิ การขยายสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุน การจูงใจให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ การอำนวยความสะดวกให้ผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ
และ (6) ลดอุปสรรคจากการดำเนินงานภาครัฐ อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศให้เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการวิเคราะห์และสนับสนุนเศรษฐกิจรายสาขายังได้เสนอมาตรการเศรษฐกิจเฉพาะสาขาธุรกิจ ซึ่งครอบคลุมภาคการผลิตที่สำคัญ อาทิ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว ภาคการค้า และภาคบริการ
3. ความคืบหน้าการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจ
ในที่ประชุม ครม.ได้ติดตามความคืบหน้ามาตรการที่ดำเนินไปแล้ว อาทิ
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยมาตรการ 3 ระยะ ดังนี้ (1) การเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้แก่ ลูกหนี้รายย่อย รวมมูลค่าสินเชื่อ 3.84 ล้านล้านบาท จำนวน 10.97 ล้านบัญชี ลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่าสินเชื่อ 2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี และลูกหนี้ภาคธุรกิจ (Corporate) รวมมูลค่าสินเชื่อ 0.92 ล้านล้านบาท จำนวน 37,114 บัญชี (2) สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ติดต่อลูกหนี้ ไปเยี่ยมกิจการ เพื่อประเมินผลกระทบของการแพร่ระบาด รวมทั้งจัดทำช่องทางให้ลูกหนี้แจ้งสถานะและความประสงค์ในการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นต้น และ (3) การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR BIZ ซึ่งเป็นระบบ One Stop Service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขหนี้เดิมได้สะดวกยิ่งขึ้นและมีโอกาสได้สินเชื่อใหม่
มาตรการด้านแรงงาน เสนอโดยกระทรวงแรงงาน ผลการดำเนินงานโครงการล้านงานเพื่อล้านคน ประกอบด้วย (1) งาน Job Expo Thailand 2020 ล้านงานเพื่อล้านคน ระหว่างวันที่ 26 ถึง 28 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค มีตำแหน่งงานที่รองรับรวมทั้งสิ้น 1,495,225 อัตรา และมีผู้เข้าร่วมงานทั่วประเทศจำนวน 125,383 คน มีผู้ที่สนใจติดตามงานตามช่องทางต่าง ๆ ทั้งสิ้น 2,254,712 คน/ครั้ง โดยมีสถานประกอบการที่มาออกบูธ 501 แห่ง มีตำแหน่งงาน 100,012 งาน ผู้สมัครงาน 143,066 ครั้ง และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงาน 57,226 อัตรา และ (2) เว็บไซต์ไทยมีงานทำ ข้อมูล ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2563 มีตำแหน่งงาน 733,633 อัตรา ผู้สมัครงาน 112,806 ครั้ง และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงานทั้งสิ้น 45,112 อัตรา และสำหรับมาตรการอุดหนุนการจ้างงานเด็กจบใหม่ มีตำแหน่งงานทั้งสิ้น 74,351 อัตรา มีผู้สมัครงานทั้งสิ้น 39,033 คนและมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครได้ทั้งสิ้น 31,876 อัตรา
มาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) เสนอโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมีความคืบหน้าการปรับปรุงมาตรการ Smart Visa หลายประการที่เปิดกว้างขึ้น เป็นต้น
4. ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง
วันพรุ่งนี้ (16 ต.ค.2563) จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์
ในที่ประชุม ครม. กระทรวงการคลังได้รายงานความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2563 ของการลงทะเบียนร้านค้าโครงการคนละครึ่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 มีรายละเอียดดังนี้ (1) กิจการลงทะเบียนรวมทั้งหมด 210,010 ร้าน แบ่งเป็น กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ จำนวน 152,795 ร้าน กิจการที่รอดำเนินการตรวจสอบ จำนวน 56,465 ร้าน และกิจการไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของโครงการ จำนวน 750 ร้าน (2) กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จแบ่งออกเป็นกิจการที่มีหน้าร้าน จำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่และแผงลอย จำนวน 24,943 ร้าน (3) ประเภทของกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 90,052 ร้าน ส่วนร้านธงฟ้า มีจำนวน 41,331 ร้าน ร้าน OTOP จำนวน 4,991 ร้าน และร้านค้าทั่วไป จำนวน 16,421 ร้าน และ (4) กิจการที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง จำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 34.8 รองลงมาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 25.0 และภาคใต้ จำนวน 37,229 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 17.7 โดยในรายจังหวัดนั้นพบว่า กิจการที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 25,526 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 12.2 รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7,105 ร้านคิดเป็นร้อยละ 3.4 และจังหวัดสงขลา จำนวน 6,516 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.1
5. ความคืบหน้ามาตรการด้านการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รายงานความคืบหน้า ประกอบด้วย
โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5.27 ล้านคน และมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 1,406,808 คืน และมีสัดส่วนจากรัฐสนับสนุน 1,537.2 ล้านบาท สำหรับมูลค่ายอดใช้จ่าย E-Voucher รวมทั้งหมด 916.4 ล้านบาท มีสัดส่วนจากรัฐสนับสนุน 345.7 ล้านบาท ขณะที่ตั๋วเครื่องบินมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 51,753 สิทธิ ซึ่งมีสัดส่วนรัฐสนับสนุน 43.9 ล้านบาท สำหรับมูลค่ายอดใช้จ่ายภายใต้โครงการนี้รวมจำนวนทั้งหมด 5,096.5 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ยอดมูลค่าโรงแรมที่พักจำนวน 4,049.7 ล้านบาท และสายการบิน 130 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยว 3,169.7 ล้านบาท และจากรัฐบาล 1,926.8 ล้านบาท
โครงการกำลังใจ มีบริษัทนำเที่ยวเข้าร่วม จำนวน 3,959 บริษัท นักท่องเที่ยวเข้าร่วม จำนวน 379,771 คน และมีสัดส่วนรัฐสนับสนุน 759,542,000 บาท
แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทยภายใต้STV จากภูมิภาคต่างๆ รวม 1,615 คน โดยในปัจจุบันมี 5 จังหวัดที่สามารถรองรับการกักตัวได้ ซึ่งแบ่งเป็นโรงแรมในกรุงเทพมหานครที่ผ่านการตรวจประเมิน Alternative State Quarantine (ASQ) จำนวน 84 แห่ง และโรงแรมในชลบุรี บุรีรัมย์ ภูเก็ต และปราจีนบุรีที่ผ่านการตรวจประเมิน Alternative Local Quarantine (ALQ) จำนวน 11 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Thailand Elite Member Quarantine (TEM-Q)ซึ่งมีจำนวนสมาชิกที่อยู่นอกประเทศไทยประมาณ 7,000 คน พบว่า มีสมาชิกที่ตอบรับโครงการ TEM-Q และนำส่งกระทรวงต่างประเทศผ่าน ททท. แล้ว จำนวน 448 คน สมาชิกที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงต่างประเทศแล้วจำนวน 304 คน สมาชิกที่ได้รับ Certificate of Entry และเที่ยวบินจำนวน 49 คน สมาชิกที่เดินทางถึงประเทศไทยแล้วและอยู่ในระหว่างการกักตัว จำนวน 35 คน และสมาชิกที่เสร็จสิ้นการกักตัวในเดือนกันยายนทั้งสิ้น 14 คน
6. ครม.ยังได้พิจารณาอนุมัติโครงการเพิ่มเติม อาทิ
เห็นชอบมาตรการช้อปดีมีคืน ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง โดยให้ปรับวงเงินการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง เป็นรวมกันไม่เกิน 30,000 บาท มุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในช่วงปลายปี 2563 ซึ่งคาคว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมูลค่าประมาณ 111,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี จะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาส่วนหนึ่งจากการหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการของผู้มีเงินได้ แต่จะเป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ อันจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม
เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกันและมาตรการกำลังใจ
เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯ โดยอนุมัติโครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จาก 195 ล้านบาท เป็น 186.2845 ล้านบาท (ลดลงประมาณ 8.7155 ล้านบาท)
สาระสำคัญของโครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ฯ มีกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ 34 ราย เป้าหมายบุคลากรภาคอุตสาหกรรมเข้าร่วมการอบรม จำนวน 9,500 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย(1) ระดับ Supervisor และผู้จัดการ จำนวน 2,300 คน (2) พนักงานระดับปฏิบัติการจำนวน 3,600 คน (3) พนักงานระดับบุคลากรแรงงาน จำนวน 3,600 คน เมื่อผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรระยะสั้นและสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม 4.0 ได้
7. ทั้งหมด เกิดขึ้นในการประชุมนัดแรกหลังได้ รมว.คลังคนใหม่
สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลลุงตู่เป็นอย่างดี ว่าให้น้ำหนักกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมาก่อนเรื่องอื่นใด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี