เหตุการณ์ผู้ชุมนุมม็อบชู 3 นิ้ว โอบล้อม ตะโกนหยาบคาย คุกคามรถพระยนต์ที่นั่งของสมเด็จพระบรมราชินี ในขบวนเสด็จฯ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 บริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาล ก่อนข้ามสะพานชมัยมรุเชฐ มุ่งหน้าไปทางแยกนางเลิ้ง และทางด่วนยมราช

นี่คือ เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นแล้ว

ทั้งแกนนำม็อบและพรรคการเมืองบางพรรคที่ออกมาแถ บิดประเด็น และพยายามฟอกขาวให้กับเหตุการณ์นี้ เท่ากับสนับสนุนหรือปกป้องคนกระทำความผิดอย่างน่าละอายที่สุด

1. ใส่ร้ายป้ายสีว่า ขบวนเสด็จฯไปฝ่าม็อบ

นายนันท์สกร นพรัตน์วิมล หน่วยกู้ภัยจิตอาสา ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ม็อบขวางขบวนเสด็จฯ ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ได้โพสต์คลิปที่เป็นหลักฐานสำคัญในการเอาผิดกับกลุ่มคนดังกล่าว ได้นำเสนอคลิปที่มีทั้งภาพและเสียงในเหตุการณ์นั้นทั้งหมด พร้อมคำอธิบายของเจ้าตัวที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนขบวนเสด็จฯจะมาถึงด้วย

“#บันทึกความจริงเหตุการณ์สะพานชมัยมรุเชฐ 14 ตุลาคม 2563 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมบิดเบือนว่า ในขณะที่พวกตนเองกำลังชุมนุมอยู่ แล้วขบวนเสด็จฯพยายามขับฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ไม่เป็นความจริง

ชมคลิปหลักฐานที่ผมได้ถ่ายไว้ก่อนเกิดเหตุ ความจริงจะปรากฏ

... กลุ่มผู้ชุมนุมประชาชนปลดแอก ชูสามนิ้ว ด่าทอ เข้าขัดขวางขบวนเสด็จฯของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ผมอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด...

..ผมก็แบกกระเป๋ากู้ชีพขึ้นหลัง ขับมอเตอร์ไซค์ ตระเวนไปในพื้นที่รับเสด็จฯและพื้นที่ชุมนุม เพื่อดูแลกลุ่มคนไทยรักในหลวงที่มารอรับเสด็จฯ ตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้าถนนราชดำเนินนอก ถนนราชดำเนินกลาง สนามหลวง จนถึงวัดพระแก้ว ได้ช่วยปฐมพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บ ทั้งกลุ่มคนไทยรักในหลวง และกลุ่มประชาชนปลดแอก จำนวนหลายราย โดยไม่ได้แบ่งเขาแบ่งเรา เพราะผมยึดมั่นเสมอว่า ความเจ็บป่วยไม่เลือกสีเลือกข้าง เลือดคนเรามีสีเดียว และปณิธานของผม เมื่อผมใส่ชุดขาวกู้ชีพ ผมจะช่วยผู้เจ็บป่วยบาดเจ็บทุกคน โดยไม่เลือกข้าง

ผมขับมอเตอร์ไซค์ปฏิบัติหน้าที่หน่วยกู้ชีพ ดูแลคนไทยรักในหลวง จนถึงเวลา 16.30 น. จึงกลับมาที่โรงทานหลวงปู่ เพื่อหยุดพัก และเปลี่ยนแบตเตอรี่วิทยุสื่อสาร

พื้นที่สุดท้ายก่อนจะกลับมาพัก คือ บริเวณสี่แยกนางเลิ้ง พื้นที่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมติดแนวกั้นของ จนท.บริเวณหน้า ธ.ก.ส. นางเลิ้ง จุดนี้ผมได้ช่วยผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวน 2 ราย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญู

#ประมาณเวลา 17.00 น. ผมได้ทราบข่าวทางวิทยุสื่อสารว่า ที่สะพานชมัยมรุเชฐหน้าทำเนียบรัฐบาล มีกลุ่มของผู้ชุมนุม นักศึกษา และคนไทยรักในหลวง อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผมจึงออกจากโรงทานหลวงปู่ มุ่งหน้าไปสะพานชมัยมรุเชฐ ในทันที แต่ไปติดขบวนเสด็จฯของพระบรมราชินี และ สมเด็จเจ้าฟ้าทีปังกร บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ พร้อมกับคนไทยรักในหลวงที่รอรับเสด็จฯบนฟุตบาท เต็มพื้นที่ตลอดแนวถนนราชดำเนินนอก

หลังขบวนเสด็จฯผ่านไปแล้ว ผมมุ่งหน้าไปยังสะพานชมัยมรุเชฐ ในทันที เมื่อไปถึงก็พบว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้รถตู้ของตำรวจปิดกั้นถนนบนสะพาน พบว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งที่เป็นนักศึกษา ผู้สื่อข่าว และคนไทยรักในหลวง รวมกันได้ประมาณ 200 คนกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปนั่งบ้าง ยืนบ้าง ไม่มีการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ชุมนุมและนักศึกษา เพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ในลักษณะของการชุมนุม แต่เป็นการรอสมทบกับกลุ่มชุมนุมกลุ่มใหญ่ที่ติดอยู่ที่แยกสนามม้านางเลิ้ง

ผมยังไม่ได้ทันจอดรถ ก็มีผู้ชุมนุมมาบอกผมว่า มีผู้บาดเจ็บ ผมจึงตามไป พบนักศึกษาหญิงซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมนั่งอยู่บนพื้นริมกำแพงทำเนียบรัฐบาล มีบาดแผลถลอกที่ด้านล่างหัวเข่าทั้งสองข้าง ผมจึงได้ทำแผลให้นักศึกษาคนนั้นจนเสร็จ แล้วเดินออกมาถ่าย Clip รายงานสถานการณ์โดยทั่วไป ในเวลา 17.45 น. ตามที่ผมได้บันทึกไว้ในคลิปที่ 1

#หลังจากนั้นไม่ถึง 5 นาที

ผมได้ยินกลุ่มผู้ชุมนุม ตะโกนขึ้นมาว่า “ขบวนเสด็จ ขบวนเสด็จ อย่าให้ผ่านไปได้ อย่าให้ผ่านไปได้” ผมจำไม่ได้ว่าเป็นขบวนเสด็จของพระบรมราชินี และพระองค์ทีปังกร หรือไม่

สิ้นเสียงตะโกน กลุ่มผู้ชุมนุมก็วิ่งกรูจากทุกสารทิศ เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านหน้า และขนาบซ้ายขวารถพระที่นั่ง ทั้งสองฝั่งถนน ที่ขับมาอย่างช้าๆ เพื่อขัดขวางขบวนเสด็จ พร้อมกับชูสามนิ้ว ด่าทอ ขบวนเสด็จ ด้วยคำที่หยาบคาย และยังด่าถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 บางส่วนใช้กำลังเข้าผลักดันตำรวจทางด้านหน้า เพื่อไม่ให้ขบวนเสด็จเดินหน้าต่อไป

ผมเห็นกลุ่มคนไทยรักในหลวงเกือบ 20 คน ประสานมือกับตำรวจสร้างกำแพงกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมที่พยายามจะฝ่าเข้า ไปให้ถึงรถพระที่นั่ง...

แต่การใส่ชุดขาวกู้ชีพทำให้ผมลังเลที่เข้าไปร่วมผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม ผนวกกับบนหลังของผมมีกระเป๋ากู้ชีพใบใหญ่หนักมากกว่า 10 กิโลกรัม จึงเคลื่อนตัวได้ไม่ง่ายนักวินาทีสุดท้ายผมจึงได้ตัดสินใจ ไม่เข้าไปร่วมผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมและเริ่มถ่ายคลิป จนขบวนเสด็จสามารถแหวกผ่านกลุ่มผู้ชุมนุมข้ามสะพานชมัยมรุเชฐไปได้ ด้วยหวังว่าคลิปที่ผมถ่ายเอาไว้ จะมีประโยชน์ในภายหลัง ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นสองคลิปหลักฐานสำคัญที่ใช้ดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้าขัดขวางขบวนเสด็จ...”

2. ใส่ร้ายว่าเป็นการสร้างสถานการณ์

นายนันท์สกร นพรัตน์วิมล ผู้อยู่ในเหตุการณ์ยังได้โพสต์เฟซบุ๊คติดตามประเด็นนี้ต่อไปด้วยว่า

“#ทำไมขบวนเสด็จถึงไม่เปลี่ยนเส้นทาง จนถูกกลุ่มผู้ชุมนุมวิ่งกรูเข้ามาล้อมกรอบรถพระที่นั่ง เข้ามาขัดขวางขบวนเสด็จ

1.สมเด็จพระราชินีเสด็จฯไปถวายผ้ากฐินที่ วัดราชโอรส เขตจอมทอง ไม่ใช่เสด็จไปวัดพระแก้ว ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเอาไปบิดเบือนกัน มีในข่าวพระราชสำนักในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ไปหาข่าวดูกันได้ครับ หมายกำหนดการถูกกำหนดไว้เป็นปี ก่อนจะมีการชุมนุม และทาง Facebook ของเพจวัดราชโอรส ก็มีการแจ้งข่าวการเสด็จฯพระราชดำเนินไปถวายผ้ากฐินในวันที่ 14 ตุลาคม เช่นเดียวกัน

2.เส้นทางเสด็จฯถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า คือ เสด็จออกจากวังสวนอัมพร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก ผ่านสะพานชมัยมรุเชฐ มุ่งตรงขึ้นทางด่วนยมราช เสด็จปลายทางวัดราชโอรส เขตจอมทอง

3. ก่อนหน้าจะมีการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 นายอานนท์ นำภา แกนนำนักศึกษาประกาศว่า ให้ยึดพื้นที่ เส้นทางเสด็จเป็นพื้นที่ชุมนุม ถ้ารถเมล์ยังวิ่งได้ รถ Taxi ยังวิ่งได้ ขบวนเสด็จต้องผ่านไปได้ และยังประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมชูสามนิ้วให้ขบวนเสด็จ ซึ่งกระจาย เกลื่อนโลก Online ถ้าใจไม่มืดตาไม่บอด ก็คงได้เห็นกันแล้ว

6.การที่ จนท.ตร. ต้องกักกลุ่มผู้ชุมนุมไว้ก่อนถึงแยกนางเลิ้ง ก็เพื่อรักษาเส้นทางขบวนเสด็จบนถนนพิษณุโลกเอาไว้ เพื่อให้ขบวนเสด็จใช้เส้นทางจากวังสวนอัมพร ผ่านสะพานชมัยมรุเชฐ แยกนางเลิ้ง ขึ้นทางด่วน ปลายทาง คือ วัดราชโอรส เขตจอมทอง ตามหมายกำหนดการที่ต้องเสด็จไปถวายผ้ากฐิน ถ้าตำรวจไม่กักผู้ชุมนุมไว้ก่อนถึงแยกนางเลิ้ง ปล่อยให้ผูัชุมนุมเดินหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะยึดพื้นที่การจราจรบนถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกนางเลิ้ง จนถึงแยกมิกสกวัน ถนนราชดำเนินนอก ซึ่งจะทำให้ขบวนเสด็จไม่สามารถผ่านไปได้ ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เมื่อตำรวจปล่อยกลุ่มผู้ชุมนุมให้ผ่านแยกนางเลิ้ง(ภายหลัง)

7.วันที่ 14 ผมเคลื่อนตัวตามกลุ่มผู้ชุมนุมไปตามถนนนครสวรรค์ เพราะหากเกิดการปะทะกันอย่างระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับคนไทยรักสถาบันใส่เสื้อเหลือง ซึ่งมีอยู่บ้างบนถนนนครสวรรค์ จะได้เข้าช่วยเหลือได้ทัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ ผมได้ช่วย Save Batman ที่กำลังถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายบริเวณแยกเทวกรรม หลังจากนั้นผมขับมอเตอร์ไซค์โดยใช้เส้นทางจากแยกเทวกรรมมุ่งหน้าแยกโบ๊เบ๊ เลี้ยวซ้ายผ่านตลาดมหานาค ถึงแยกยมราชเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก อ้อมมารอกลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกนางเลิ้ง ใช้เวลามากกว่า 30 นาที เพราะการจราจรบนถนนหลานหลวงก่อนถึงแยกยมราชระยะยาวไม่ถึงกิโลเมตร ติดหนักมาก

8.เสร็จภารกิจที่แยกนางเลิ้ง ผมใช้เส้นทางมุ่งหน้าแยกยมราช เลี้ยวซ้ายที่แยกยมราช ขับเลาะทางรถไฟ ไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถี วิ่งตรงมาแยกอู่ทองนอก เลี้ยวซ้ายมายังสะพานมัฆวาน ใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมง เพราะการจราจรบนถนนราชวิถีทั้งสองฝั่งที่จะขึ้นสะพานซังฮี้ และมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิติดหนักสาหัสมาก

9.เวลา 17.00 น. โดยประมาณ ผมรับเสด็จสมเด็จพระราชินี บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ท่านเสด็จมาจากฝั่งมัฆวานมุ่งหน้าวังสวนอัมพร

10. หลังจากนั้น ในช่วงเวลาประมาณ 17.40 น. ท่านเสด็จออกจากวังสวนอัมพร ตามเส้นทางเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก สะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อมุ่งหน้าขึ้นทางด่วนยมราช ไปถวายผ้ากฐินที่วัดราชโอรส เขตจอมทอง ตามหมายกำหนดการ โดยไม่มีการเปลี่ยนเส้นทาง เพราะไม่มีกลุ่มของผู้ชุมนุมปิดเส้นทางการจราจรบนถนนพิษณุโลก มีเพียงกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มคนไทยรักในหลวง ผู้สื่อข่าว กระจายตัวกันอยู่หลวมๆ บริเวณคอสะพานสะพานชมัยมรุเชฐ และบริเวณรั้วทำเนียบรัฐบาล และ ก.พ.ร.

10. ในนาทีนั้น มีแต่เส้นทางถนนพิษณุโลก ผ่านสะพานชมัยมรุเชฐ มุ่งหน้าขึ้นทางด่วนยมราช คือ เส้นทางเดียวเท่านั้น ที่รถพอจะวิ่งได้ เพราะการที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่บนถนนนครสวรรค์ใกล้แยกนางเลิ้ง ทำให้การจราจรทุกถนนที่มีรอยต่อกับแยกนางเลิ้ง กลายเป็นอัมพาตหนักมากขึ้นกว่าช่วงที่ผมใช้เส้นทาง รถเคลื่อนตัวแทบไม่ได้ทุกเส้น ถนนหลานหลวง ที่เชื่อมต่อไปขึ้นทางด่วนยมราชก็เป็นอัมพาต ถนนราชวิถี ที่อยู่หลังวังสวนอัมพร ก็เป็นอัมพาต มีแต่ ถนนพิษณุโลกเท่านั้น ที่จะเสด็จฯได้ ซึ่งเป็นเส้นทางปกติตามหมายกำหนดการเดิมที่ยังใช้เส้นทางได้ ขบวนเสด็จฯจึงใช้เส้นทางผ่านสะพานชมัยมรุเชฐมุ่งหน้าขึ้นทางด่วนยมราช

11. แล้วทำไมมีการเตรียมเส้นทางเสด็จ คำตอบ คือ เพราะในตอนนั้นไม่มีผู้ชุมนุมปิดกั้นถนนพิษณุโลก เพราะมีการปิดถนนทุกแยกที่จะมุ่งหน้ามาแยกนางเลิ้ง มีเพียงกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนน้อยที่นั่งรอยืนอยู่ที่สะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อรอสมทบกลุ่มผู้ชุมนุมหลักจากแยกนางเลิ้ง จึงมีการเสริมกำลังตำรวจเข้ามา 2 กองร้อยเข้ามาเปิดเส้นทางก่อนขบวนเสด็จฯจะเคลื่อนออกไม่นาน ชึ่งเพียงแค่เห็นตำรวจเสริมกำลังเข้ามา นายเอกชัย และนายบุญเกื้อหนุนก็เข้าไปขวางตำรวจทันที โดยที่ยังไม่ทราบว่าจะมีขบวนเสด็จ หากมีการประกาศ Clear เส้นทางเสด็จฯล่วงหน้า กลุ่มผู้ชุมนุมจะรวมตัวกันปิดเส้นทางเสด็จ และชูสามนิ้วใส่ขบวนเสด็จฯ ตามที่นายอานนท์ นำภา เคยประกาศเรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นผู้กระทำ

12. สุดท้าย แม้จะไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมปิดกันถนนพิษณุโลก บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐแต่เมื่อขบวนเสด็จฯวิ่งเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก และกลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าเป็นขบวนเสด็จ ก็มีการเรียกตะโกนให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่กระจัดกระจายกันอยู่บนสะพานชมัยมรุเชฐมาขัดขวางขบวนเสด็จ

13. ตลอดช่วงการชุมนุม ขบวนเสด็จฯหลีกเลี่ยงเส้นทางมาโดยตลอด ไม่เคยวิ่งฝากลุ่มผู้ชุมนุม แต่ใครละจะคาดคิด ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นคนไทย จะกำแหงเหิมเกริม ขนาดวิ่งกรูกันไปรวมตัวขวางเส้นทางขบวนเสด็จ ราวกับสมเด็จพระราชินีและพระองค์ทีคือศัตรูคู่แค้นของตนเอง

ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของชาติไทย

ในฐานะที่คุณเป็นคนไทย คุณลองใช้สามัญจิตสำนึกของคุณตรองดูว่า เมื่อมีขบวนเสด็จฯผ่านคุณต้องทำอย่างไร ต้องหลบ ต้องถอย ต้องนั่ง หรือต้องวิ่งกรูเข้าไปขวาง...”

3. น่าเศร้าใจ... พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์แก้ต่างอย่างหน้าตาเฉยว่าผู้ชุมนุมมิได้มีเจตนาจะกระทำการให้กระทบต่อขบวนเสด็จแต่ประการใด มิได้เข้าขัดขวางขบวนเสด็จ ทำเหมือนพยายามช่วยกลบเกลื่อนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

ไม่แปลกใจ.. เชื้อความคิดที่ให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ จนทำให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง ราวศัตรูคู่อาฆาตเช่นนั้น ก็ล้วนออกจากปากอดีตผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่บางกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน คือ แกนนำคณะก้าวหน้า โดยไม่เคยป้องปรามพฤติกรรมที่รุนแรงหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์บนเวทีและในบริเวณการชุมนุมของคณะปลดแอก รวมถึงราษฎรเลย ตรงกันข้าม กลับพยายามป้อยอ ยกย่อง ให้ท้าย เข้าไปสนับสนุนในการชุมนุม เพื่อหวังผลทางการเมือง แต่หวังปัดความรับผิดชอบตามกฎหมาย

สารส้ม