วันนี้ โครงการคนละครึ่ง จะเริ่มใช้จ่ายวันแรก (23 ตุลาคม 2563) ยาวไปจนถึงสิ้นปี
น่าสนใจว่า โครงการนี้ เหมือนเป็นยาบรรเทาปวด เหมือนการให้กินยาชูกำลัง หรือให้น้ำเกลือ เพื่อจะช่วยพยุงกำลังซื้อ จะได้ผลต่อระบบเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชนแค่ไหน อย่างไร
1. โครงการเตรียมงบไว้รองรับผู้ใช้สิทธิ 10 ล้านคน
ข้อมูล ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2563 มีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน 6,733,557 คน ในจำนวนนี้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบ ซึ่งได้รับสิทธิใช้จ่ายตามโครงการจำนวน 6,402,927 คน
ขณะนี้ ยังคงเหลือสิทธิให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้อีกราว 3 ล้านคน
สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ต่อเนื่องทุกวัน ในช่วงเวลา 06.00-23.00 น. จนกว่าจะครบ 10 ล้านคน
2. ประชาชนที่ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิแล้ว จะต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยเสียก่อน จากนั้นจะเติมเงินส่วนตัวจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการเข้าไปในแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” แล้วจึงจะสามารถใช้สิทธิซื้อสินค้ากับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอพพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที ในช่วงเวลา 06.00-23.00 น.
โดยการใช้จ่ายแต่ละครั้ง รัฐจะร่วมจ่ายครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน150 บาทต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ เช่น
หากท่านต้องการจ่ายค่าอาหาร 200 บาท ประชาชนต้องมีเงินใน “เป๋าตัง” อย่างน้อย 100 บาท เพื่อสแกนจ่ายเงินกับร้านค้า “ถุงเงิน” และรัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้าอีก 100 บาท ประชาชนก็จะเหลือวงเงินร่วมจ่ายจากรัฐ 2,900 บาท
หรือ หากจะใช้จ่ายค่าสินค้าจำนวน 400 บาท ท่านต้องมีเงินใน “เป๋าตัง” อย่างน้อย 250 บาท รัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้า 150 บาท และประชาชนจะเหลือวงเงินร่วมจ่ายจากรัฐ 2,850 บาท เป็นต้น
3. ร้านค้ารายย่อยที่ผ่านการตรวจสอบเข้าร่วมโครงการและมีแอพพลิเคชั่น “ถุงเงิน” แล้ว จะต้องอัพเดตแอพพลิเคชั่นให้เป็นปัจจุบัน และกดปุ่มยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขโครงการผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าวก่อนด้วย เพื่อให้พร้อมรับการสแกนจ่ายเงินด้วยแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ของประชาชน
ล่าสุด มีร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า 300,000 ร้านค้าทั่วประเทศ
ร้านไหนเข้าร่วมโครงการ สังเกตง่ายๆ ดูสัญลักษณ์โครงการคนละครึ่งที่หน้าร้านค้า หรือค้นหารายชื่อและที่ตั้งร้านค้าได้จากเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com
4. มาตรการนี้ เป็นหนึ่งในชุดมาตรการเพื่อเพิ่มกำลังซื้อชั่วคราว ในยามที่เศรษฐกิจยังติดโควิด-19 จะเกิดประเทศเต็มรูปแบบ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ทำไม่ได้เต็มที่ การส่งออกยังติดปัญหาตลาดโลกที่ป่วยหนักจากโควิด
ยังมีโครงการอื่น เช่น โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเติมเงินให้กับผู้ถือบัตรฯ 13.9 ล้านคน, โครงการช็อปดีมีคืนที่มีกลุ่มประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้เป็นกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
ประการสำคัญ ขอย้ำว่า รัฐบาลจะต้องเร่งมาตรการฟื้นเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การจ้างงาน (ตามที่เพิ่งจัดงานใหญ่ไป แต่จะต้องติดตามการจ้างงานให้เกิดขึ้นจริงๆ) การลงทุนโครงการต่างๆ การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย หลังระยะเวลาพักหนี้ผ่านพ้นไป รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด อาทิ สายการบิน ท่องเที่ยว ฯลฯ มิให้เลิกจ้างคนเพิ่ม การเร่งโครงการฟื้นเศรษฐกิจเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ที่เหลืออยู่ เป็นต้น
และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน สังคมทุกภาคส่วนควรจะต้องตระหนักถึงความจำเป็นของการร่วมแรงร่วมใจ สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นตัวถ่วง หรือเหนี่ยวรั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 โดยเฉพาะการเมือง มิให้ทำลายโอกาสของประเทศที่กำลังจะออกก้าวเดิน หลังนอนป่วยจากโควิด ไม่เตะตัดขา หรือเข้าไปสร้างแรงกระแทก จนล้มลุกคลุกคลานซ้ำซ้อนเพียงเพราะความต้องการแย่งชิงอำนาจกันในทางการเมือง สุดท้ายมันจะไม่เป็นผลดีกับใครเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี