เปิดปีใหม่ 2564 เริ่มต้นปีด้วยการนับตัวเลขรายวันของการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจริงๆ เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปี โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มกราคม ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 365 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศ 250 ราย และเป็นแรงงานต่างด้าว ที่พบจากการคัดกรองเชิงรุก 99 ราย จึงทำให้ผู้ป่วยสะสมพุ่งไปอยู่ที่ 9,331 ราย ซึ่งอาจจะแตะหลักหมื่นอีกไม่กี่วันนี้ แต่ประเด็นสำคัญคือการกลับมาระบาดรอบสองนี้ มีจำนวนถึง กว่าห้าพันรายเพียงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน
ซึ่งเมื่อมีสถานการณ์กลับมาวิกฤติเช่นนี้ เราอาจต้องมานั่งทบทวนอะไรบางอย่างและวางแผนยุทธศาสตร์ใหม่ เพราะดูแล้ววิกฤติโควิดคงไม่สามารถควบคุมได้ง่ายและยังไม่รู้จุดจบของผลกระทบด้านอื่นๆ แม้จะบอกว่าวัคซีนเตรียมฉีดปีนี้ก็ตาม
ปัจจัยพื้นฐานที่ต้องคำนึงถึงคือ
ปัจจัยแรก แนวทางจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส ซึ่งในข้อนี้เบื้องต้นยังขอเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรมาก เพราะรัฐบาลมีประสบการณ์จากการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มาแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็มีหลายคนพากันคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ว่าจะมีการใช้ยาแรงด้วยการประกาศล็อกดาวน์ทั้งประเทศเหมือนครั้งก่อน แต่ที่ผ่านมาทางรัฐบาลก็ออกมายืนยันแล้วว่าจะยังไม่ใช้มาตรการดังกล่าว แต่จะใช้เป็นการรักษาเฉพาะจุดเอา เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีการระบาดที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการใช้มาตรการล็อกดาวน์จัดการทั้งประเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นวงกว้าง มีราคาที่ต้องจ่ายสูง และคนที่เจ็บปวดที่สุดคือประชาชน ที่ต้องถูกจำกัดบริเวณ จำกัดเวลาและพื้นที่ ซึ่งอาจกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ
และถึงแม้จะประกาศว่าจะเริ่มมีการทยอยได้รับวัคซีนตั้งแต่ช่วงต้นปี แล้วทยอยออกต่อเนื่องทั้งปี แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีใครกล้ารับประกันถึงผลของการฉีดวัคซีนนี้ที่มาจากหลายบริษัทหลายประเทศ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับกระบวนการป้องกันหรือรักษาจริงหรือไม่? เช่น การดื้อยา การกลายพันธุ์ หรือการเกิดโรคใหม่ที่ใกล้เคียง ฯลฯ และหากประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังไม่ได้รับวัคซีนทั้งหมดหรือไม่ครอบคลุม ก็ยากที่สถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกยังคงต้องทำต่อไปคือประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศของตนเองเพราะไม่รู้จะเปิดประเทศจริงๆ ได้อีกเมื่อไร จึงต้องมีการวางแผนประคองเศรษฐกิจเพื่อที่จะช่วยประชาชนที่มีรายได้น้อยที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้ให้ผ่านพ้นจากวิกฤตินี้ไปให้ได้ก่อน
สอง กระบวนการประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งอันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นโจทย์ยากต่อรัฐบาลที่มากกว่าปีที่แล้ว ด้วยสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ มีการแพร่กระจายสูงกว่าครั้งก่อนและมีการแพร่กระจายไปหลายพื้นที่ทั่วประเทศกว่า 56 จังหวัด ซึ่งมีอย่างน้อย 28 จังหวัด ที่ถูกกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด ซึ่งจังหวัดเหล่านี้จะมีมาตรการที่เข้มข้นและอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคประชาชน แต่เชื่อว่าประสบการณ์จากปีที่แล้ว ก็อาจทำให้รัฐบาลรู้แล้วว่า ควรจะจัดสรรทรัพยากรไปช่วยส่วนไหนถึงจะคุ้มค่าที่สุด ทั้งในส่วนการจัดสรรงบประมาณ การเยียวยา และมาตรการทางเศรษฐกิจทั้งช่วงระบาดและการฟื้นฟูหลังระบาด ที่ ณ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่จบง่ายๆ และอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ จึงไม่อาจทุ่มเททรัพยากรจนหมดได้
ปัญหาคือแม้ประสบการณ์จะมีแล้ว แต่งบประมาณจะมีพอหรือไม่ ? บวกกับความบอบช้ำจากปีที่แล้วที่ธุรกิจหลายอย่างกำลังประสบปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงิน รัฐบาลจึงอาจต้องมองมากกว่าปัจจัยเฉพาะหน้าและประเมินการสำรองเงินไว้อีกเท่าไรสำหรับวิกฤตการณ์ที่ยังไม่จบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย มาดูที่การใช้งบ พบว่างบเยียวยาที่กู้มาครั้งก่อน 1 ล้านล้านบาท ที่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่หนึ่ง 6 แสนล้าน คืองบจำเป็นเร่งด่วนฉุกเฉินในการช่วยเหลือประชาชน ส่วนที่สอง อีก 4 แสนล้าน เอาไว้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลล่าสุดงบเยียวยายังเหลืออยู่ประมาณ 2 แสนล้านที่ยังไม่เบิกจ่าย ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายอำนาจนี้ ล่าสุดก็มีการชงโครงการเราไม่ทิ้งกันเฟส 2 เข้า ครม. แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ว่า การแพร่ระบาดยังไม่สิ้นสุด ยังไม่รู้ว่าจะมีการขยายวงกว้างแค่ไหน โดยมีการตั้งประเด็นว่าถ้าจ่าย 5,000 บาทต่อคน (เท่าเดิม) เป็นเวลา 3 เดือน เหมือนครั้งก่อนงบประมาณอาจจะไม่พอหรือไม่ ดังนั้นถ้าจ่ายก็อาจจ่ายไม่เต็มจำนวนเท่ารอบก่อน นอกจากจะต้องมองหาแหล่งเงินอื่นมาเพิ่ม หรือแท้จริงแล้วมีแนวทางในการบริหารการเงินแบบอื่นหรือไม่? ตามที่เริ่มมีผู้เสนอทางเลือกมาแล้ว
ส่วนงบฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่งเบิกจ่ายไปแค่ 2,600 ล้านจาก 4 แสนล้าน ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤติที่ยังไม่รู้จุดสิ้นสุดเช่นนี้ ส่วนตรงนี้จึงมีการตั้งคำถามว่าควรมีการพิจารณาจัดสรรใหม่หรือไม่ ? โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันและวงเงินที่มีอยู่ เพื่อไปแก้ไขส่วนอื่น
ไม่นานมานี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้ไปกล่าวปาฐกถาหนึ่งในช่วงต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้วว่า “วิกฤติโควิด-19 คาดว่าทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยหรือจีดีพีติดลบราว 8% ปี 2563 โดยจุดที่เศรษฐกิจถูกผลกระทบ เป็นเสมือนกล่องดวงใจของเศรษฐกิจไทย คือภาคการท่องเที่ยว อีกทั้งยังโดนซ้ำเติมจากปัญหาหนี้ครัวเรือนเดิมตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ที่สูงถึง 84% ของจีดีพีปัจจุบัน” ซึ่งสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่าในไตรมาส 3/2563 หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาสนี้ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปี ที่ 86.6% ต่อจีดีพี และมีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นไปสูงกว่า 90% ต่อจีดีพี ในปี 2564 หากการระบาดรอบใหม่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจก่อนโควิดระบาดระลอกใหม่ แต่หลังการระบาดระลอกใหม่นี้ คงจะต้องมาประเมินสถานการณ์ตัวเลข แนวโน้มทางเศรษฐกิจกันอีกรอบว่าจะดิ่งลงอีกหรือไม่
ดังนั้น ปีนี้ทั้งปี คงยังเป็นอีกปีที่ไม่สามารถใช้นโยบายในการบริหารเศรษฐกิจแบบปกติได้ หรือแม้กระทั่งจะออกนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิดก็ยังประเมินไม่ได้ เพราะจริงๆ ยังไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์จะจบเมื่อไร โดยเฉพาะการระบาดระลอกใหม่ที่เป็นสิ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
รัฐบาลจึงต้องหาทาง ที่สอดรับกับความเสี่ยงในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น หรือนโยบายในลักษณะการประคองสถานการณ์ เพื่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้อย่างปีที่ผ่านมา เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี
และปัจจัยสุดท้าย คือ การจัดการปัญหาภายในระบบ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการระบาดระลอกใหม่ครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ ณ เวลานี้ถูกตั้งคำถามว่าเกิดขึ้นจากการบกพร่องจริงหรือมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่? ทั้งในกรณีลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แรงงานเถื่อน และบ่อนการพนันที่เป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดในระลอกใหม่นี้
ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับและทำความเข้าใจ แล้วค่อยๆ จัดการแก้ปัญหาไปทีละจุด
อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ จะส่งผลให้ประเทศได้รับประโยชน์ถึงสองต่อ หนึ่งคือ สามารถจัดการกับต้นตอของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลได้อีกครั้ง และสองคือ สามารถแก้ปัญหาหมักหมมที่มีอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานอย่างระบบราชการ
“เหตุการณ์ในโลกคล้ายเกมหมากรุก แปรปรวนสุดหยั่ง
มีผู้ใดคาดคำนวณชะตากรรมวันพรุ่งนี้ได้”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี