ชื่อ “บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด” (Siam Bioscience) ปรากฏในข่าว และเริ่มคุ้นหูมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ ลองไล่เลียงข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับองค์กรนี้
1.บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19
โดยเมื่อวันที่ 12 ต.ค.2563 สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี และแอสตราเซเนกา บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 AZD1222 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ในหนังสือแสดงเจตจำนงระบุว่า ทุกฝ่ายตกลงจะทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมศักยภาพด้านกำลังการผลิตของ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ให้พร้อมรองรับการผลิตวัคซีนจำนวนมากเพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา ทั้งนี้ แอสตราเซเนก้า จะจัดสรรวัคซีนวิจัยดังกล่าวโดยไม่มุ่งหวังผลกำไรในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมกันนี้จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและร่วมมือกับสยามไบโอไซเอนซ์ ในการติดตั้งกระบวนการผลิต
2.ทำไมเลือกถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้ไทย?
งานนี้ นับเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี กับแอสตราเซเนกาและมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
มิส โจ เฟง รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชีย แอสตราเซเนกา กล่าวว่า1. ความเป็นผู้นำและการสนับสนุนของรัฐบาลไทย 2. ความร่วมมือของเอสซีจี และ 3.ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตระดับโลกของสยามไบโอไซเอนซ์ สร้างความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตวัคซีน AZD1222 รองรับทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนแบบนี้เป็นทางเดียวที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดได้
3. บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ไม่ใช่บริษัทที่เพิ่งตั้ง แต่มีผลงานเป็นที่เชื่อถือยอมรับ
เป็นบริษัทผู้ผลิตยาชีววัตถุผ่านเทคโนโลยีชีวภาพชั้นสูงของไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริษัทนี้ เกิดจากพระราชปณิธานของในหลวง ร.9 ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2552
ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทฯ ระบุว่า “..ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะให้ประชาชนชาวไทยสามารถได้รับยาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงในราคาที่ถูกลง สร้างความมั่นคงทางยา เพื่อดูแลรักษาสุขภาพของคนไทย เครือสยามไบโอไซเอนซ์ จึงก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2552 ซึ่งประกอบไปด้วย 2 บริษัทหลัก คือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และบริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด
บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ดำเนินการวิจัย พัฒนา และผลิตยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ โดยมีการวิจัย พัฒนาและผลิตครบวงจร ตั้งแต่ตัวยาสำคัญและสารออกฤทธิ์ จนถึง ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
บริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2553 เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการตลาดและการขายทั้งในประเทศและส่งออก รวมทั้งการพัฒนาธุรกิจสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ภารกิจสำคัญของเครือคือการผลิตยาชีววัตถุ หรือ ยาไบโอฟาร์มา ซึ่งเป็นยาที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง สามารถบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลข้างเคียงต่ำ อาทิ การผลิตยาเพิ่มเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว เป็นต้น โดยเริ่มการผลิตและการขายในปี พ.ศ.2559 เป็นโรงงานยาชีววัตถุแห่งเดียวของประเทศที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล PIC/s GMP, ISO 9001:2015, ISO17025:2016 โดยยาดังกล่าวได้รับการบรรจุเข้าบัญชียาของหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช. หรือ บัตรทอง) และสำนักงานประกันสังคม เป็นต้น
ด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับโลกของโรงงาน รวมทั้งศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาอย่างครบวงจร และความสามารถในการดำเนินการพัฒนาธุรกิจ เครือสยามไบโอไซเอนซ์ จึงได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผู้รับจ้างผลิตยา และเครื่องมือแพทย์ให้แก่องค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในปี 2560 เครือสยามไบโอไซเอนซ์ ได้มีการจัดตั้งบริษัทลูกอีก 2 บริษัท เพื่อต่อขยายธุรกิจ ดังนี้
บริษัท เอบินิส จำกัด เพื่อวิจัย พัฒนา ผลิตและส่งออกยาชีววัตถุอย่างครบวงจร เน้นยารักษาโรคมะเร็ง โรคโลหิตจาง และ โรคแพ้ภูมิตนเอง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน เป็นต้น โดยเป็นบริษัทร่วมทุนกับ CIMAB รัฐวิสาหกิจยาอันดับหนึ่งของคิวบา
บริษัท อินโนไบโอคอสเมด จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ชีวเวชสำอาง ซึ่งเป็นนวัตกรรมจากงานวิจัยและพัฒนาของเครือฯ”
4.ข้อมูลงบการเงิน จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มีผลขาดทุนต่อเนื่องในปี 2560 2561 และ 2562 โดยขาดทุน 114 ล้าน 76 ล้าน และ 69 ล้านบาท ตามลำดับ
5.ในเฟซบุ๊ค Boriphat Sangpakorn บอกเล่าข้อมูลเชิงลึกไว้ บางตอนว่า
“... 2562 ครบรอบ 10 ปี สยามไบโอไซเอนซ์ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนกระทั่งปีปัจจุบัน บริษัท #ยังไม่เคยทำกำไรแม้แต่บาทเดียว และยังขาดทุนสะสมมาแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาทซึ่งกินทุนไปแล้วถึง 1/5
สยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตยาประเภท biosimilars ซึ่งเป็นยาที่เป็นโปรตีน ไม่ใช่ยาเคมีสังเคราะห์ ดังนั้นหลักการผลิตยา จึงเป็นการผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง (ไม่สามารถก็อปร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เหมือนยาเคมี) การผลิตยาชีววัตถุจึงเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไทยไม่เคยทำมาก่อน
จุดกำเนิดของสยามไบโอไซเอนซ์ มาจากการที่อาจารย์หมอจากมหาวิทยาลัยมหิดลไปจูงมือสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาทำ โดยสำนักทรัพย์สินออกทุนทั้งหมด และคณะแพทย์ฯ ศิริราช เป็นหุ้นส่วนฝ่ายการวิจัยและพัฒนา ดังนั้น ในส่วนของสำนักทรัพย์สินฯจึงได้จดทะเบียนบริษัทเอเพ็กซ์เซล่ามาดูแลการจัดจำหน่าย(ขาดทุนทุกปี ปีละ 20-30 ล้านเพิ่งรับรู้กำไรปีแรก 2561 จำนวน 4 ล้านบาท และ 2562 กำไร 39 ล้านบาท รวมๆ แล้วเฉพาะเอเพ็กซ์เซล่า ก็ยังขาดทุนสะสมร่วมร้อยล้านบาทอยู่)
ด้านสยามไบโอไซเอนซ์ สำนักทรัพย์สินฯมอบหมายให้อาจารย์เสนาะ อูนากูล เป็นประธานกรรมการ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นกรรมการ SCC จึงทำให้มีการดึงทีมบริหารจาก SCC มาดูแลสยามไบโอไซเอนซ์ เนื่องจากต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีการผลิต เพราะเป็นเทคโนโลยีการผลิตยาชีววัตถุ เป็นสิ่งที่ภายในประเทศไม่เคยมีมาก่อนเลย
ความใหม่ของเทคโนโลยีและองค์ความรู้ จึงส่งผลให้สยามไบโอไซเอนซ์ต้องแสวงหาพันธมิตร คือร่วมมือกับ CIMAB รัฐวิสาหกิจของคิวบา เพราะประเทศคิวบาเป็นชั้นแนวหน้าของโลกในอุตสาหกรรมยาชีววัตถุ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งความร่วมมือในส่วนนี้จึงขยายผลให้มีการร่วมทุนกันตั้งบริษัทเอบินิสแยกมา ทำโรงงานผลิตเพื่อป้อนยาชีววัตถุให้กับคิวบาและการส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยสัดส่วนการลงทุน 70/30 (สยามไบโอไซเอนซ์/คิวบา) ดังนั้น ตัวโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์จึงมาตรฐานสูงมาก เพราะนายทุน (ทุนลดาวัลย์) กระเป๋าหนัก จึงออกแบบโรงงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมสูง ได้มาตรฐานทั้ง PIC/S และ GMP ต้นทุนโรงงานจึงสูงหลายพันล้านบาท บริษัทต้องเพิ่มทุนไม่ต่ำกว่า4 ครั้ง ปัจจุบันทุนจดทะเบียนกว่า 4.8 พันล้านบาท เรียกว่าลงทุนชาตินี้ กำไรชาติไหนก็ช่าง
ภายใต้พื้นที่ 36 ไร่ ของที่ตั้งโรงงาน ภายในตัวโรงงานได้จัดเนื้อที่ 1,600 ตารางเมตร สำหรับเป็นห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัย การวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพ โดยครอบคลุมวิธีการทดสอบและตรวจวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับยาชีววัตถุในทุกด้าน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพและทางเคมี (physico-chemical), ลักษณะทางชีวภาพ (biological), และ ลักษณะทางชีวกายภาพ (biophysical analysis) โดยโรงงานออกแบบมาเพื่อให้มีความผสมผสานกับสิ่งแวดล้อมโดยมีพื้นที่มากกว่า 30% เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นโรงงานที่ไม่มีการปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม (Zero Emission)
ปัจจุบัน ยาชีววัตถุวิจัยสำเร็จแล้ว 6 รายการ และได้รับการรับรองแล้ว 2 รายการ คือยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล(filgrastim) และยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง (erythropoieth-alfa) โดยมีสายการผลิตอยู่ที่ 1 ล้านโดสต่อปี สามารถทดแทนความต้องการภายในประเทศได้1/4 ทำให้รัฐหั่นต้นทุนการนำเข้ายาลงมาได้กึ่งหนึ่ง กล่าวคือประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินปีละ 3 พันล้านบาท แม้ปัจจุบันสยามไบโอไซเอนซ์จะขาดทุนต่อปีที่ 70 ล้านบาท ต่อไปก็ตาม
การผลิตวัคซีนโควิด เป็นความร่วมมือระหว่างอังกฤษกับไทย โดยที่ฝ่ายอังกฤษเป็นผู้เลือกเอง เพราะฝ่ายนั้นเขามีฐานการวิจัยและการอุดหนุนจากองค์การอนามัยโลกอยู่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมีหน้าที่เอาโรงงานที่มีอยู่ในมือใส่พานประเคนให้เลือก ...มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าแอสตราเซเนกา หากจะต้องเลือกโรงงาน ระหว่างโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์กับขององค์การเภสัชกรรม ย่อมต้องเลือกโรงงานที่ทันสมัยที่สุด ความพร้อมในการผลิตสูงที่สุด (โรงงานต้นแบบของ KMUTT ซึ่งเป็นโรงงานยาชีววัตถุแห่งที่สองของไทย ผมไม่คิดว่าจะเป็นตัวเลือกด้วยซ้ำ เพราะเป็นโรงงานที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานการผลิตเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในขณะที่สยามไบโอไซเอนซ์ มีโรงงานที่หนึ่ง โรงงานที่สอง และเข้าใจว่ากำลังจะทำโรงงานที่สามด้วยมั้งครับ ดังนั้นกำลังการผลิตติดตั้งจึงมีเหลือเฟือ)
การที่รัฐบาลอนุมัติงบ 6 พันล้าน เป็นการจัดซื้อจัดหาจากแอสตราเซเนกา ดังนั้นจึงจ่ายเงินให้แอสตราเซเนกา ไม่ได้จ่ายเงินให้สยามไบโอไซเอนซ์ เพราะสยามไบโอไซเอนซ์แค่รับจ้างผลิตให้แอสตราเซเนกา ไม่ได้รับจ้างรัฐบาลไทย…”
6. สอดคล้องกับคำชี้แจงของ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค อดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เคยชี้แจงว่า
“กรณีของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์นั้น ต้องชี้แจงว่าบริษัทปูนซีเมนต์ สยาม ซีเมนต์ กรุ๊ป หรือว่าเอสซีจี เขามีสายสัมพันธ์กับทางออกซ์ฟอร์ด ก็เลยช่วยให้เราได้เป็นผู้ผลิตวัคซีน ซึ่งถ้าหากไม่มีความรู้จักทางธุรกิจที่ว่ามานั้น เขาก็ไม่ให้เราเหมือนกัน เพราะมันก็มีประเทศอื่นที่ใกล้ๆ เช่น ประเทศสิงคโปร์เช่นกัน
และอีกประเด็นนอกเหนือจากสายสัมพันธ์ทางธุรกิจแล้ว ก็คือว่า ต้องดูด้วยว่าประเทศเรานั้นมีโรงงานที่จะผลิตวัคซีนได้หรือไม่ ซึ่งทางเขาก็ได้มีการมาสำรวจทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แล้ว พบว่ามีอยู่ 2 ประเทศที่มีความสามารถจะผลิตวัคซีนเป็นจำนวนมากให้เขาได้ ซึ่งแห่งแรกก็คือบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ที่ประเทศไทย... ...ทางอังกฤษเป็นผู้ที่เลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เพราะว่าโรงงานของทางองค์การเภสัชกรรมก็ยังไม่มีความก้าวหน้ามากพอที่จะผลิตวัคซีนของเขาได้ ...วัคซีนที่ได้มีการทำสัญญากับทางออกซ์ฟอร์ดนั้น ฉีดฟรีสำหรับคนไทย และไม่มีการหากำไรแต่อย่างใด โดยเป็นการที่รัฐบาลได้มีการเจรจา
ซื้อสิทธิบัตรมาผลิตแล้วจะให้คนไทยได้ฉีดฟรี”
นี่คือ บริษัทที่จะทำหน้าที่ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี