นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เปลือยธาตุแท้ของตนเองให้สังคมไทยได้เห็นว่า มีพฤติกรรมไม่ต่างกับลิ่วล้อที่เคยสนับสนุนตน คือพวกที่เคยออกมาจับผิดมั่วๆ เรื่องเครื่องช่วยหายใจพระราชทาน และเรื่องโครงการหลวงอื่นๆ
เล่นบทจับผิดแบบจับแพะชนแกะ เต็มไปด้วยอคติส่วนตัว
เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ หาเรื่องไปเคลื่อนไหวปลุกปั่นต่อไปวันๆ
ครั้งนี้ นายธนาธรได้ฆ่าตัวตายในทางสังคม ด้วยการบิดเบือนให้ร้ายเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด พุ่งเป้าไปที่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์
พยายามอย่างมากที่จะทำให้คนฟังเข้าใจผิด ว่ามีการเอื้อประโยชน์อันมิชอบ ฉวยโอกาสหาคะแนนนิยม ทำให้ประชาชนและประเทศชาติเสียหายต่างๆ นานา
ทำปากเก่ง ปากดี อวดฉลาด... ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริง การจัดการเรื่องวัคซีนโควิด ต้องทำตั้งแต่ช่วงที่ไม่มีใครรู้ว่าใครจะพัฒนาวัคซีนสำเร็จหรือไม่อย่างไรปลอดภัยแค่ไหน และถ้าหากรัฐบาลรีบไปเอาวัคซีนมาฉีดแล้วมีคนตายอย่างในต่างประเทศ นายธนาธรและพวกคงรีบแห่ศพประท้วง เหมือนที่ม็อบสามนิ้วพยายามหาศพหาเรื่อง ถึงขนาดเอาน้ำแดงมาราดตามตัวแสดงเป็นเด็กนักเรียนเล่นคอสเพลย์ เพื่อปลุกปั่นสร้างความวุ่นวายมาข้ามปี โดยไม่สนใจกับมาตรการช่วยกันป้องกันโควิดใช่ไหม
ต่อกรณีเรื่องวัคซีน ล่าสุด แฟนเพจ Sound of Thailand ได้สรุปเรื่อง “ตอบ “ธนาธร” ทุกคำถาม : ปมวัคซีนโควิด-19 และบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์” เนื้อหาน่าสนใจ ดังนี้
“...วานนี้คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ค ตั้งคำถามเรื่องการจัดหาวัคซีนของทางการไทยในหลายเรื่อง แน่นอนว่าพฤติกรรมของคุณธนาธรนั้นได้บั่นทอนกำลังใจคนทำงาน ที่ หามรุ่ง หามค่ำ ทำงานนี้ จนเกิดความคืบหน้า
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า เบื้องต้น ประเทศไทยเลือกใช้วัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา เป็นสูตรวัคซีนของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด กระบวนการผลิต เรียกว่าViral Vector Vaccine วัคซีนชนิดนี้ มนุษย์รู้จักมานาน ถือว่ามีความปลอดภัย และเป็นวิธีทำวัคซีนหลายๆ ชนิด อาทิ วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบเป็นต้น
กับประเทศไทย บริษัทแอสตราเซเนกาได้ให้ทางบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นโรงงานผลิต ปัจจุบัน ได้รันการผลิตไปแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรฐานเพื่อการผลิตจริง คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม การระบาดรอบใหม่ ทำให้ไทย ต้องเร่งการจัดหาวัคซีน กระทั่งทางการได้พิจารณานำเข้าวัคซีนของ Sinovac เพื่อมาฉีดให้บุคลากรการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงก่อน กำหนดการรับวัคซีนคือเดือนกุมภาพันธ์ 2564
แต่คุณธนาธร ก็ยังมองว่าไทยบริหารจัดการล่าช้า และโจมตีในหลายประเด็น
มาในเรื่องการจัดหาวัคซีนที่คุณธนาธร มองว่าล่าช้าก่อน
สำหรับประเทศไทยนั้น ต้องยอมรับว่าเราไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีน และมิใช่เป็นประเทศที่ร่ำรวยเงินทอง การจัดหาวัคซีนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุด ในช่วงที่หลายบริษัทเดินหน้าผลิตวัคซีน และเปิดสั่งจองช่วงกลางปี 2563 เงื่อนไขของแทบจะทุกบริษัทเหมือนกัน คือ จะต้องเป็นการสั่งจอง และจ่ายเงินไปก่อน พร้อมกับยอมรับผลที่ตามมา หากการผลิตวัคซีนไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องยอมเสียเงินที่สั่งจอง นี่คือประเด็นที่ทางการไทย จำเป็นต้องสงวนท่าที แม้จะมีการพูดคุยกับหลายบริษัท แต่ยังไม่ตัดสินใจ กระทั่งมีความคืบหน้าจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ทางการไทยจึงขยับตัว
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยว่า หน่วยงานเอกชนของไทยคือ เอสซีจี กับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมีความสัมพันธ์กันในเชิงการวิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยี (technology innovation research) มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ดังนั้น เอสซีจีจึงสอบถามไปยังมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้คิดค้นวิจัยวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะได้วัคซีนประสิทธิภาพดี
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดชี้แจงว่าหากสนใจเรื่องดังกล่าวจะต้องประสานงานผ่านแอสตราเซเนกา เพราะเป็นผู้ดูแลการผลิตวัคซีนในต่างประเทศ และเป้าหมายของทั้งสอง คือการสร้างซัพพลายการผลิตวัคซีนจำนวนมากให้เกิดขึ้นทั้งโลก ในกำลังการผลิต3,000 ล้านโดสต่อปี ดังนั้น แอสตราเซเนกาก็ต้องไปหาพันธมิตรในต่างประเทศ เช่น บราซิล เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย
ขณะนั้นทางแอสตราฯ กำลังมองหาฮับในการผลิตในอาเซียน ในรายงานประจำปี 2563 ของบริษัท แอสตราเซเนกา ระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเติบโต (emerging markets) และยังมีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมในการผลิตวัคซีน รวมไปถึงการมีโรงงานผลิตวัคซีนที่ได้มาตรฐาน มีเทคโนโลยีทันสมัยอย่าง “สยามไบโอไซเอนซ์”ทั้งเป็นแหล่งของนักเรียนหัวกะทิที่พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากแอสตราเซเนกาและมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นสาเหตุว่าทำไมไทย กับ แอสตราฯ จึงได้มีโอกาสมาทำข้อตกลงเรื่องวัคซีนกัน ทั้งนี้ ทางบริษัทแอสตราฯ ให้ไทยเป็นฐานการผลิต แลกกับไทยต้องสั่งจองวัคซีนล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ไทยดึงจังหวะ จนมั่นใจว่าบริษัทแอสตราเซเนกา สามารถผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยได้ จึงตัดสินใจจับมือกับแอสตราเซเนกาเมื่อช่วงปลายปี 2564
หมอนคร กล่าวว่า “มันจะแปลกมาก หากว่าวัคซีนที่สยามไบโอไซเอนซ์ผลิตได้ตามมาตรฐานของออกซฟอร์ด แล้วประเทศไทยไม่ใช้ มันก็จะลดทอนความน่าเชื่อถือของวัคซีนใช่ไหม นี่แหละคือที่มาที่ไปของการจองซื้อวัคซีนจากแอสตราเซเนกามีความพิเศษที่ไม่ได้จองซื้อจากบริษัทตรงๆ ทั่วไป แต่เราได้เงื่อนไขของการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตด้วยตั้งแต่ต้นน้ำ”
จะเห็นว่า การพิจารณาใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกานั้น เมื่อเทียบกับการระบาดในประเทศ เมื่อปี 2563 ไม่ได้เรียกว่าชักช้าแต่ประการใด เพราะประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศที่มีการระบาดอยู่ในขั้นต่ำ แม้การระบาดระลอกใหม่ ก็ไม่ได้เป็นการระบาดหนักหนาสาหัส ที่ต้องเร่งนำเข้าวัคซีน เร่งฉีด ซึ่งดูจะเป็นการเอาชีวิตประชาชนเข้ามาเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
ปัจจุบัน ได้มีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมจาก Sinovac แล้ว ซึ่งเป็นการคัดเลือกโดยเน้นไปที่ระยะเวลาได้รับเร็วที่สุด และวิธีการทำ ก็เป็นหนึ่งในวัคซีนที่มีความปลอดภัยที่สุด มีเป้าหมายเพื่อระดมฉีดบุคลากรทางการแพทย์
คุณธนาธร อาจมองว่า การจัดการวัคซีนของไทยนั้น มิได้รวดเร็วทันใจ แต่ในมุมของแพทย์แล้ว ในสถานการณ์ที่สามารถจัดการกับโรคระบาดได้ ก็ไม่สมควรต้องเอาชีวิตคนไปเสี่ยงกับวัคซีนที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถึงขั้นที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) พูดเรื่องวัคซีนว่า “หากมีผู้ที่ฉีดเยอะ ก็ทำให้เรามีข้อมูลมากขึ้น หรือเรียกว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”
หากพูดในอีกมุมหนึ่ง ต้องยอมรับว่า ประเทศที่กำลังตะลุยฉีดนั้น กำลังจะให้คำตอบกับประเทศที่เหลือว่า วัคซีนแบบไหนดีที่สุด แบบไหนควรเลือกใช้ และแบบไหนมี Side EFFECT อะไรบ้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจ สำหรับประเทศ ที่ยังไม่ตะลุยซื้อ รวมถึงไทยด้วย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ที่สถานการณ์ในไทยไม่รุนแรง และเปิดโอกาสให้ไทย ได้เลือกวัคซีนที่ดีที่สุด
นอกจากนั้น คุณธนาธร ยังกล่าวว่า บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีความไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากเป็นการทำธุรกิจที่ขาดทุน ทั้งนี้ ในเรื่องของความมั่นคงด้านการลงทุน บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทที่มีมูลค่าการลงทุนสะสมถึง 4.5 พันล้านบาท ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ตัวเลขขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้น มิได้บ่งบอกถึงศักยภาพในการผลิต เนื่องจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีปณิธานการทำงาน เพื่อช่วยเหลือระบบสาธารณสุขไทย
บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มาจากพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพระราชทานพระราชดำรัสเรื่องสุขภาพของประชาชน ด้วยทรงเห็นว่า “คน” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะพัฒนาประเทศ สร้างความพอมี พอกิน และทรงให้ความสำคัญในการฟื้นฟูปัญหาสุขภาพของประชาชน เพื่อการพัฒนาประโยชน์สุขให้เกิดกับส่วนรวมและประเทศชาติ จึงมิได้เป็นบริษัทที่มุ่งหากำไรมาตั้งแต่ต้น แต่บริษัทนี้เอง ซึ่งเป็นบริษัท ที่ช่วยเหลือกระทรวงสาธารณสุข ในการผลิตน้ำยาตรวจเชื้อโควิด-19 ในวันที่ไทยพบการระบาดระลอกแรก ซึ่งทำให้ไทยมีน้ำยาตรวจเชื้อเพียงพอ ไม่ขัดสน เหมือนในต่างประเทศ ซึ่งการจำหน่ายของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์นั้น เป็นการคิดตามราคา “ต้นทุน” เท่านั้น ปัจจุบัน บริษัทก็ไม่ได้ผลิตสินค้าใดทั้งนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตวัคซีน รูปแบบการทำงานเช่นนี้ คงจะหากำไรได้ยาก แต่ก็แลกมาด้วยสุขภาพที่ดีขึ้นของคนไทย
จากนั้น มีคำถามจากนายธนาธร ว่าประเทศไทย สั่งจองวัคซีนน้อยกว่าความต้องการ ปัจจุบันนี้ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการสั่งจองวัคซีนประมาณ 30 ล้านโดสและกำลังสั่งจองเพิ่มเติมจนครบตามความต้องการของจำนวนประชากรทุกคน
ถามว่า ทำไม จึงไม่สั่งจองรวดเดียว เอาให้ครบ เนื่องจากไทยยังมีโอกาสเลือกวัคซีนที่ดีที่สุด จึงไม่จำเป็นต้องเทงบ เพื่อการจัดซื้อแบบรอบเดียวจบ และ ความเป็นจริงแล้ว การฉีดวัคซีน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่นั้น ไม่จำเป็นต้องฉีดให้ครบทุกคน แต่ประชาชนต้องเคยติดเชื้อมีภูมิคุ้มกัน บวกกับฉีดวัคซีนรวมกันที่ 60% ของประชากรทั้งหมด ก็สามารถป้องกันโรคได้แล้ว
นี่คือปัจจัยว่าทำไมรัฐบาลจึงทยอยซื้อวัคซีน
ทำไมต้องซื้อวัคซีนของแอสตราเซเนกา
และทำไมบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์จึงขาดทุน”
อ่านแล้วก็ดีใจ และรู้สึกว่าเป็นบุญของประเทศไทยมาก ที่คนอย่างนี้ไม่ได้มีอำนาจบริหารประเทศ มิฉะนั้นแล้ว ความอวดฉลาดและความหลงตัวเองว่าเก่งกว่าใคร คงนำความฉิบหายมาสู่ประเทศชาติเกินจะจินตนาการ
ไม่น่าแปลกใจ เรื่องเรือยอรชต์ - เรื่องสินบน 20 ล้าน – เรื่องป่าแม่สมพรที่ราชบุรีฯลฯ สังคมอยากฟังคำชี้แจง และขอให้มีคนซักถามด้วย นายธนาธรกลับอมสาก!!!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี