lแหนหน้ามองฟ้า ตาดูดิน : การสร้างบ้านประชาธิปไตย มีแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ …..
ดีใจจัง มีผู้มีอุดมคติ ให้ความสนใจ ติดตามอ่านบทความนี้ และนำไปเผยแพร่ต่อ
อีกทั้งให้กำลังใจ และให้ความเชื่อมั่น ในเส้นทางเดินบนสายประชาชน ที่คงเส้นคงวา มาตลอด ๗๒ ปี
lเรื่องส่วนรวม มีมากมาย เป็นกองพะเนินเทินทึก *pile up mountain high*
เราไปคิด และทำหมดไม่ได้ เพราะเรามีชีวิตเดียว ที่มีเวลาจำกัด
ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต เราต้องคัดสรร เรื่องสำคัญที่สุด (ตามสภาพและเงื่อนไข ที่เราทำได้)
เรื่องที่เป็นใจกลาง เป็นหัวโซ่ของปัญหา
เมื่อเราทำได้แล้ว จุดหรือปัญหาอื่นๆ ก็จะแก้ได้ ตามมา
แต่หากเราไม่สามารถ หาหรือจับ “เรื่องที่เป็นหัวโซ่ หรือ ใจกลางของปัญหา” ได้ในภาวะนี้ซึ่งมิใช่เรื่องแปลก แต่ประการใด
เพราะเราไม่รู้ เวลายังมาไม่ถึง และ วันนี้ เรายังไม่มี“ผู้นำเชิงรัฐบุรุษ” ที่จักมานำพาแก้วิกฤติ
แต่นักประวัติศาสตร์ แนวปฏิวัติ มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่า
“สักวันหนึ่ง” ……………..
lแต่วันนี้เรา ก็ยัง “สามารถทำเรื่องอื่นที่สำคัญรองลงมา”
รองรับ เตรียมพร้อม ซึ่งเป็นการสะสมกำลัง สะสมความพร้อม หรือ พูดให้เห็นภาพชัดคือ
“สร้างบันได ในขั้นที่สูงขึ้น ไปเรื่อยๆ”
เป็นการยกระดับ “ความรู้ ความคิด ประสบการณ์” และ กำลัง ความพร้อม เพื่อ “ให้ไปถึงระดับที่สูงพอ” ที่เราจะสามารถไขว่คว้า “ดวงดาว” ได้
“ดวงดาวดวงแรก” จะนำไปสู่ “ดวงดาวดวงที่ ๒”และต่อไป
ซึ่งสามารถทำได้ ในหลายลักษณะ
1.การคิด การทำ การเข้าร่วม การสรุปบทเรียน
๑.ทำด้วย “ตัวเอง”
๒.ทำร่วมกับ “มิตรสหายที่มีอุดมคติ หรือ อุดมการณ์เดียวกัน หรือ การสร้างกลุ่มฯ ขึ้นมาเอง
๓.เข้าร่วมกับ “การเคลื่อนไหวทางการเมืองฯ” ในระดับประเทศ ระดับจังหวัด ภาคฯ
2.ทำ ๒ ทาง และ ๒ แบบ ไปพร้อมๆกัน ตามสภาพเงื่อนไข และปัจจัย ที่เป็นจริง คือ
๑. ๒ ทาง คือ
(๑)เสริม พัฒนา กำลังส่วนตน และเพื่อนมิตร
(๒)เสริม สนับสนุน กำลังของส่วนรวม
๒. ๒ แบบ คือ
(๑)เสริม เพิ่ม “กำลังของเรา”
(๒)ลด หรือ ทอน “กำลังของฝ่ายศัตรู ที่เป็นหลัก”
3. เรื่องที่ควรทำ
(๑)การศึกษาหาความรู้ เพิ่มประสบการณ์ อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง
(๒)การแสวงหา และ เรียนรู้ รับรู้ และเข้าใจ จาก“ผู้รู้ ผู้มีภูมิปัญญา และประสบการณ์” ต้องดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย และต่อเนื่อง ไม่หยุด จากผู้หนึ่ง ต่อไปยังผู้อื่น ที่รู้มากกว่า มีความเป็นจริงในการปฏิบัติ ที่สูงขึ้น
(๓)การเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆ ที่หลากหลายทำให้เรามีความรู้ และความเข้าใจ กลุ่มพลังต่างๆ และความคิดของเขา อย่างเป็นจริง
(๔)การแสวงหา “ทุน” ซึ่งเป็นปัจจัยที่ขาดมิได้ รวมทั้ง “ผู้สนับสนุน และผู้ร่วมงานส่วนหนึ่ง ที่มีทุนฯ”
(๕)การมีสื่อ (หรือช่วงทางการสื่อสารฯ ของตนเอง) และ หรือ การสร้างเครือข่ายสื่อที่หลากหลาย
(๖)การสร้างเงื่อนไข หรือ การหาทาง เข้าร่วมในอำนาจรัฐ ในระดับต่างๆ การได้ทดลอง การใช้อำนาจรัฐ ตามสภาพเงื่อนไขที่เป็นจริง ที่ให้ได้ผลที่ดีขึ้น
(๗) การเข้าร่วม การปฏิบัติการ ในการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในระดับประเทศ หากสามารถเข้าร่วมได้ ตั้งแต่ “เริ่มต้น ท่ามกลาง และท้ายสุด”จะดียิ่ง เพราะจะทำให้เราเข้าใจ “กระบวนการของการต่อสู้ ทั้งกระบวนฯ”และจะเป็นการให้
“ตนเอง” ได้ฝึกฝน และทดสอบตนเอง ว่า สามารถเป็น“นักต่อสู้ หรือนักปฏิวัติ ได้ดี ได้จริง ได้ถูกต้องเหมาะสม” รวมทั้งเป็นการพิสูจน์ ให้เพื่อนมิตร ผู้ร่วม ได้ “ยอมรับและเชื่อมั่น”ในตัวของเราที่ผ่านมาทุกเหตุการณ์ ของการต่อสู้ “ผู้นำส่วนหนึ่ง” จะละทิ้งกลางคัน หรือ หลบ หนี ไปที่อื่น หรือต่างประเทศ ในสถานการณ์ที่คับขันแต่จะโผล่หน้ามาสู่เวที เมื่อ“เราเป็นฝ่ายชนะ”
(๘)การสรุปบทเรียนที่ผ่านมาด้วยตนเอง และร่วมกับเพื่อนมิตรเพื่อให้รับรู้ และเข้าใจ ในส่วนของเรา กลุ่มหรือฝ่ายของเรา และฝ่ายตรงกันข้าม แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ทั้งในส่วนของตัวเรา และขบวนของการต่อสู้ฯ
(๙)หน้าที่หลักของ “นักปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงโลก”คือ การให้ “การศึกษา” แก่ผู้คน
โดยเฉพาะ ควรเน้น “คนที่มีอุดมคติ” รักจะทำหน้าที่ที่มีเกียรติยิ่งในชีวิตคือ “การเข้าร่วม การเปลี่ยนแปลง ประเทศไทย”
lสำหรับประเทศไทย ที่มีข้ออ่อนใหญ่ คือ
1.ผู้นำทุกภาคส่วน เดินซ้ำรอยเดิม เป็นทางสายเก่าที่วนเวียนอยู่ในถ้ำแห่งอวิชชา ที่หาทางออกไม่ได้เพราะขาดงาน ๒ ส่วนสำคัญ คือ
๑.“งานวิชาการ เชิงทฤษฎี” ทั้งการสรุปปัญหา และการวิเคราะห์
๒.การกำหนด “แนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จังหวะก้าวขั้นตอน” ในการหาทางออกจากถ้ำวิกฤติทางการเมือง การสร้างประชาธิปไตย
l2. ตามมาด้วย “ผู้นำส่วนหนึ่ง” มักจะการกล่าวหา ชี้นิ้วไปที่คนอื่น ที่มิใช่ตัวเอง
๑.คนอื่นผิด ไม่ดีไม่ถูกต้อง เป็นเผด็จการฯ คนอื่นผิด เป็นนักการเมือง ซื้อเสียง โกงกิน แทรกแซงข้าราชการ และกระบวนการยุติธรรม
๒.ตัวเอง และพวกของตัวเอง เดินตามแนวทางประชาธิปไตย แต่ขาดโอกาส เพราะมีการรัฐประหาร โดยกองทัพ
lคนส่วนนี้ ความจริง “น่าสงสาร”
เพราะการไม่เคารพคนอื่น ไม่เคารพความจริง คือ การไม่เคารพตนเองการไม่เคารพตนเอง ทำให้เขาโกหกได้
และเมื่อ โกหกบ่อยๆ เขาก็จะหลง เชื่อ ในสิ่งที่เขาโกหกนั้น
lที่น่าแปลกใจ คือ เขา เป็นคนเก่ง มีความรู้มากมาย และมีประสบการณ์สูง
หากเขาให้ความคิดเห็น ในเรื่องอื่นๆ เขาจะพูดได้ดี
ฟังแล้ว มีประโยชน์ แยกแยะ และนำไปใช้ได้
แต่ถ้าหากเขาพูดในเรื่องที่มีอคติ เขากลับติดในโคลนตม และหลงอยู่ในถ้ำอวิชชา
และที่น่าเศร้า คือ “บางคนเป็นคนดีพอควร แต่ไม่รู้ และไม่เข้าใจตัวเอง”
แต่ที่แย่หน่อย คือ “คนที่เป็นอาจารย์ สอนหนังสือให้ลูกศิษย์”
ไม่ได้สอน “ความรู้ ความจริง” แต่ “ยัดเหยียดกรอก อคติของเขา ไปสู่ สมองของลูกศิษย์”
ไม่มีใครช่วยเขาได้ นอกจาก ตัวเอง : “ที่ต้องการใช้สติปัญญา ความจริง มาสอนตัวเอง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี