การเมืองระหว่างประเทศก็จะมีเรื่องของความเป็นพันธมิตรระหว่างกันของประเทศต่างๆ ด้วยการจัดทำข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ เพื่อร่วมกันปฏิบัติการและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อเป้าหมายหนึ่งใด เช่น ร่วมกันป้องกันตัวเองจากภยันตราย หรือการคุกคามจากประเทศ หรือกลุ่มประเทศอื่นๆ
ในบางกรณี บางประเทศจะต้องพึ่งพาอีกประเทศหนึ่งที่มีพลังอำนาจเหนือกว่า เพื่อความอยู่รอดของตนเอง เช่นการที่ไต้หวัน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์ ต่างต้องพึ่งพากำลังทหาร และอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เพื่อการป้องกันคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยจากการคุกคามจากประเทศที่ 3 เช่น จีน เกาหลีเหนือ และรัสเซีย หรือนัยหนึ่งคือต้องอยู่ภายใต้ร่มชายคาของอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ (Nuclear Umbrella)
แต่บางประเทศก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับประเทศมหาอำนาจ หรือเข้าร่วมกันเป็นพันธมิตรภายใต้ ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือดังกล่าว มักประสงค์จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือไม่ก็ไปรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด (Non-aligned/Non-alignment) โดยมีการประสานท่าทีกันในเรื่องต่างๆ ในเวทีโลก และเวทีภูมิภาค
แต่ทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น ก็มิได้หมายความว่าทุกประเทศสมาชิกจะมีการเข้าแถวอย่างพร้อมเพรียง เชื่อฟัง และเคารพในมติของส่วนใหญ่ หรือของส่วนรวม โดยทั่วไปก็มักจะมีบางประเทศที่ชอบแตกแถวออกไปบ้างเป็นครั้งคราว หรือเป็นการถาวร เพื่อแสดงความเป็นตัวของตัวเอง เพื่อบ่งบอกว่ายังมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อมติของส่วนรวม หรือไม่ขึ้นต่ออาณัติหรืออิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ อันเป็นการวางตัวในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ที่ใช้หลักหรือยุทธศาสตร์ความเป็นตัวของตัวเอง หรือการเป็นเอกเทศ (Strategic Autonomy)
ในปัจจุบันมีประเทศที่จัดได้ว่ากำลังมุ่งมั่นที่จะมีความเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด ก็คงไม่พ้นประเทศเตอรเกีย ซึ่งเป็นสมาชิกองค์การนาโตที่มีประเด็นกำลังเผชิญหน้าอยู่กับรัสเซีย แต่เตอรเกียก็กลับสามารถมีความสัมพันธ์กับรัสเซียเป็นพิเศษได้
นอกจากนั้นก็ยังมีประเทศบราซิลที่กำลังทำตัวหลีกเลี่ยงการมีภาพว่าเป็นเด็กภายใต้อิทธิพล หรืออยู่ในอาณัติของสหรัฐอเมริกา โดยไปมีบทบาทสำคัญในเรื่องการจัดตั้งองค์การร่วมมือ BRICS กับจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นการท้าทายการครอบงำของกลุ่ม 7 ประเทศพัฒนาแล้ว (Group of Seven – G7) ที่ต่างมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ นำโดยสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่ม BRICS พยายามจะเป็นสุ้มเป็นเสียงให้กับประเทศส่วนใหญ่ของโลกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา
ยังมีประเทศอินเดียที่แม้จะเป็นสมาชิกขององค์การร่วมมือสี่เส้า (QUAD) ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย แต่ทว่า อินเดียก็มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับรัสเซีย และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับจีน แม้ว่าจะร่วมมือกันในกรอบขององค์การ BRICS ก็ตาม
ทั้งสามประเทศดังกล่าวจัดได้ว่ากำลังดำเนินนโยบายต่างประเทศ และมีบทบาทในการเมืองระหว่างประเทศด้วยหลัก Strategic Autonomy โดยอีกประเทศหนึ่งที่กำลังมีความโดดเด่นขึ้นมาเป็นลำดับของการใช้หลัก Strategic Autonomy ก็คือ อินโดนีเซีย ที่โดยตลอดมาได้ยึดหลักการไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด และคบหาสมาคม ซึ่งรวมถึงการร่วมมือการซ้อมรบกับทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย และมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับออสเตรเลียที่เป็นพันธมิตรอันสำคัญของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น อีกทั้งอินโดนีเซียก็พยายามที่จะมีบทบาทโดดเด่นในโลกมุสลิม และกลุ่ม G20 ซึ่งประกอบด้วยประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาชั้นนำ ขณะที่ทวีปแอฟริกาก็จะมี 2 ประเทศที่กำลังวางตัวด้วยหลัก Strategic Autonomy คือ แอฟริกาใต้ และไนจีเรีย
ในการนี้ประเทศที่ยึดหลัก Strategic Autonomy ดังกล่าว ก็ได้หันมากระชับความร่วมมือกันมากขึ้นในนามของประเทศ Global South ซึ่งโลกก็คงจะได้เห็นการใช้การทูต และการเจรจาเป็นแนวทางของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากขึ้น เพราะต่างก็สามารถพูดจาได้กับบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลายได้อย่างกว้างขวาง แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปคุกคามประเทศมหาอำนาจ และประเทศที่พัฒนาแล้วแต่อย่างใด
สำหรับประเทศไทยเรามีปัจจัยพร้อมที่จะวางตัวเพื่อดำเนินนโยบาย Strategic Autonomy ได้ แต่ก็มีอุปสรรค ซึ่งได้แก่ ความไม่รู้เรื่อง ความไม่ตระหนัก ของชนชั้นกลางเมือง (The political class)
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี