เมื่อไม่นานวันมานี้ผมนั่งรถแท็กซี่ ซึ่งมีโชเฟอร์เป็นคอการเมือง และเขาได้ปรารภออกมาอย่างน่าสนใจว่า การใช้งบประมาณประจำปีของ อบต. ควรจะมีการเปิดเผยเป็นระยะๆ ว่าได้มีการใช้งบประมาณไปเมื่อใด และเอาไปทำอะไรบ้าง แต่เขาก็ไม่เชื่อว่า ทางฝ่ายผู้บริหาร อบต. จะยอมกระทำการดังกล่าวด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบของตนเอง ฉะนั้นจึงควรต้องมีการออกกฎหมายบังคับ เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
ผมก็ได้แสดงข้อคิดเห็นไปว่า อยากจะให้เป็นเรื่องสามัญสำนึกและความรู้รับผิดชอบมากกว่า แทนที่จะต้องบังคับกันด้วยการออกกฎหมาย แต่โชเฟอร์ก็ยังยืนกรานที่จะให้มีการออกกฎหมายเพื่อการนี้ เพราะถ้าปล่อยให้อยู่กับจิตสำนึกรับผิดชอบ บรรดานักการเมืองท้องถิ่นก็คงจะไม่ทำการแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันลูกบ้านก็ไม่กล้าไถ่ถามเพราะเกรงกลัว
ในเวลาใกล้เคียงกันผมก็ได้มีโอกาสพบปะกับนักวิชาการจากประเทศคอสตาริกาที่ได้มาบรรยายเรื่อง Open Justice - ระบบยุติธรรมที่เปิดเผย (โปรดดูบทความจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า คอลัมน์เขียนเพื่อคิด ฉบับวันพุธที่ 12 มีนาคม 2568) และมีการสนทนากันเป็นการส่วนตัวหลังจากนั้น เขาก็ได้พูดถึง Open Government - ระบบการบริหารราชการแบบเปิด
เรื่อง Open Government นี้ ได้มีการริเริ่มขับเคลื่อนกันโดยประเทศผู้ริเริ่ม8 ประเทศ โดยมีการจัดประชุมเคียงข้างกับการประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) และที่ประชุมได้มีมติจัดตั้งองค์การร่วมมือภายใต้ชื่อ The Open Government Partnership - OGP และ ณ วันนี้องค์การ OGP มีสมาชิก 54 ประเทศ และมีสมาชิกจากองค์กรที่มิใช่รัฐอีกจำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งประเทศไทยยังไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก
ความหมายและจุดประสงค์ของ Open Government ก็คือ การส่งเสริมให้รัฐบาลประเทศสมาชิกมีการบริหารจัดการที่ดี มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และให้ประชาชนพลเมืองเข้าถึง เพื่อการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ท้วงติง และสนับสนุนได้ตามแต่กรณี เป็นการเสริมสร้างความโปร่งใส และการทำงานแบบที่มีการรับผิดชอบ ที่เปิดให้มีการตรวจสอบได้
ซึ่งจะเป็นการช่วยในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยปริยาย
องค์การ OGP มีการประชุมประจำปีและประชุมเฉพาะเรื่องเป็นระยะๆ และมีแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อบ่งบอกซึ่งทิศทางและมาตรการที่จะร่วมมือกันระหว่างประเทศสมาชิก และบ่งบอกซึ่งทิศทางและมาตรการของแต่ละประเทศสมาชิกในการปรับปรุงและเสริมสร้างสมรรถนะของตนเอง
เมื่อประเทศสมาชิกหนึ่งใดรับหลักการและเงื่อนไขของเรื่อง Open Government แล้ว ก็อาจจะจัดได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติ และภายใต้กรอบ Open Government นี้ สถาบันรัฐอื่นๆ ก็จะมีระบบเปิดของตนเองเชื่อมโยงมาด้วย เช่น Open Parliament (รัฐสภาแบบเปิด) Open Justice (กระบวนการยุติธรรมแบบเปิด) ไปจนถึงการบริหารจัดการในองค์กรอื่นๆ ทั้งทางด้านวิชาการ สื่อ แวดวงธุรกิจ ทั้งนี้ Open Government มิได้หมายถึงแค่การบริหารราชการแบบเปิดในระดับชาติเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการบริหารราชการในระดับท้องที่และท้องถิ่นด้วย
ทั้งนี้ การที่ประเทศหนึ่งใดจะมีระบบ Open Government ได้ ก็มีนัยว่าประเทศนั้นๆ จะต้องมีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีฐานอยู่กับเรื่องสิทธิเสรีภาพความเสมอภาค และการเคารพกฎหมาย เป็นต้น ฉะนั้นระบบ Open Government จึงใช้ไม่ได้กับระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นเผด็จการใดๆ ทั้งสิ้น
ผมเองก็ใคร่ขอนำเสนอเรื่อง Open Government มา ณ ที่นี้ เพื่อเราชาวไทยจะได้ร่วมกันขับเคลื่อน และผลักดันให้ฝ่ายภาครัฐ ภาคพรรคการเมือง ภาควิชาการและภาคสื่อ และภาคธุรกิจ รับไปพิจารณาเพื่อที่จะดำเนินการกันต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี