เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ได้มีการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมชาวเวียดนามจากทุกสารทิศ และที่ประชุมได้มีมติที่ 68 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบและโครงสร้างเศรษฐกิจของเวียดนาม จากระบบเศรษฐกิจแบบรัฐนำพา และระบบเศรษฐกิจผสมผสานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเอกชนนำพาแบบเต็มใบ หรือสมบูรณ์ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2045 บ่งบอกถึงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้าให้ภาคเอกชนดำเนินการและนำพา โดยภาครัฐหรือฝ่ายพรรคมีภาระหน้าที่ในเรื่องการออกกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกาที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับเศรษฐกิจภาคเอกชน รวมทั้งการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าถึงซึ่งทรัพยากรของชาติเพื่อดำเนินธุรกิจ โดยไม่มีการขวางกั้นหรือการแข่งขันจากวิสาหกิจรัฐอีกต่อไป
การนี้หมายความว่า พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และรัฐบาลเวียดนามได้สละแล้วซึ่งอุดมการณ์และความคิดอ่านแบบมาร์กซ์และเลนิน ว่าด้วยการมีบทบาทของฝ่ายพรรคและฝ่ายรัฐในเรื่องเศรษฐกิจ ธุรกิจการค้ามุ่งเปลี่ยนสภาพให้เศรษฐกิจของเวียดนามเป็นแบบเศรษฐกิจตลาดเสรี หรือทุนนิยมอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการสะท้อนซึ่งการได้มาที่เพิ่มขึ้นของสิทธิเสรีภาพของชาวเวียดนามในการดำรงชีวิต และการทำอาชีพ ซึ่งก็จะมีนัยสำคัญไปสู่การเปิดกว้าง และการเปิดเสรีทางด้านการเมือง รวมทั้งการนับถือศาสนาอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมีการติดตามกันต่อไป ทั้งโดยชาวเวียดนามเอง และโดยชาวอาเซียนและชาวโลก อีกทั้งก็เป็นการลดบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งการเข้าไปแทรกแซงสั่งการหรือทำธุรกิจเสียเอง พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามก็จะกลายมาเป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวก และกำกับดูแลซึ่งความถูกต้องยุติธรรม
แรงผลักดันของการมุ่งไปสู่ความเป็นเสรีก็น่าจะเกิดมาจากการที่เวียดนามได้เข้าไปเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน และได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงว่าด้วยเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area – AFTA) การจัดทำข้อตกลงแบบทวิภาคีว่าด้วยการเปิดการค้าเสรีกับหลายๆ ประเทศ ความเชื่อมั่นของประชาคมโลกโดยเฉพาะแวดวงธุรกิจเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของเวียดนาม และความชัดเจนในการเปิดประเทศที่อำนวยให้เวียดนามสามารถรองรับโรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ที่ลงทุนโดยธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และต้องการย้ายหนีจากจีน ให้มุ่งมาอยู่ที่เวียดนามแทน (ซึ่งก็เป็นการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเวียดนามเพื่อต่อกรกับจีนในเรื่องข้อพิพาทเขตแดนในทะเลจีนตอนใต้)
ข้อมติที่ 68 ดังกล่าวนี้ เป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศของเวียดนามอย่างแน่ชัดและจริงจัง ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อชาวเวียดนามและชาวอาเซียนด้วยกัน ก็น่าจะร่วมแสดงความยินดีด้วย เพราะความเจริญก้าวหน้าของเวียดนามก็จะช่วยเสริมสร้างสถานะและความเป็นปึกแผ่นของอาเซียนโดยรวมด้วย ทั้งนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ (ในอนาคตอันใกล้ก็จะมีติมอร์ตะวันออก เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกที่ 11) ก็จะมีความสำคัญต่อกันและกัน ทั้งในเชิงการแข่งขันและการร่วมมือควบคู่กันไปด้วย อีกทั้งนอกจากกรอบอาเซียนแล้ว ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมา ก็ยังมีกรอบร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย ซึ่งในการนี้แต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนและกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงก็ต้องพิจารณาทบทวนตัวเอง ปรับปรุงตัวเองให้เหมาะสมเพื่อกระชับความร่วมมือต่างๆ ให้มีความเจริญก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน และไม่ทิ้งห่างกันมาก เพื่อความสมัครสมานสามัคคี และความรู้สึกที่ดีต่อกัน
แต่ไทยก็มีประเด็นปัญหา เพราะความอ่อนแอในสติปัญญานึกคิดและความสามารถของฝ่ายการเมือง และฝ่ายข้าราชการประจำในระดับสูง อีกทั้งผู้นำทางธุรกิจก็มักจะเป็นกองเชียร์ เอาอกเอาใจฝ่ายการเมืองมากกว่าที่จะคิดอ่านทำการในเชิงสร้างสรรค์ และร่วมแรงร่วมใจกับภาครัฐ เพื่อเร่งการพัฒนาประเทศ และละทิ้งนโยบายประชานิยมต่างๆ โครงการส่งเสริมประเทศไทยแบบนิ่มปัญญา เอาง่ายเข้าว่า
เวียดนามได้ก้าวกระโดดอย่างมากในช่วงประมาณ 25 ปีที่ผ่านมา มิใช่เขาเก่งกล้าสามารถกว่าไทยเรา แต่ผู้นำไทยเราต่างหากที่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองและเอาประโยชน์เข้าตัว สอบตกเรื่องศีลธรรม ซึ่งถ้าเราพึงพอใจกับสภาพนี้ เราก็สามารถอยู่กันไปตามมีตามเกิด แต่สังคมไทยมิใช่เป็นของคนเลวเพียงหยิบมือเดียว หากเป็นของปวงชนชาวไทยที่รักและหวงแหนแผ่นดินเกิด และมีภาระหน้าที่ต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินและบ้านเมือง
คนดีคนเก่งต้องกล้าแสดงความคิดเห็น ต้องกล้าออกมาเคลื่อนไหว ต่อสู้ และขจัดความชั่วร้ายต่างๆ และต้องคิดอ่านดำเนินการในเรื่องอารยะขัดขืนของการไม่ข้องแวะใดๆ กับผู้มีตำแหน่งหน้าที่ที่มีแต่ความเลวร้ายต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะฝ่ายสื่อต้องคิดเลิกถ่ายทอดคำพูดและวาทกรรมที่ไร้สาระ ละเมิดศีลข้อ 4 และต้องเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างและผู้มีความคิด
ที่ดีงามต่อชาติบ้านเมืองได้ออกมาโต้ตอบ ลบล้างความไร้สาระ มุสาวาจาต่างๆ พร้อมกับการเสนอทางออกที่ดีให้กับชาติบ้านเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี