ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้พื้นฐานความคิด หรือที่ไปที่มาของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง หรือ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
1.พื้นฐานจากอุดมการณ์ทางการเมือง (Ideology)
2.พื้นฐานจากอุดมคติหรือความคิดที่เลอเลิศ (Idealism)
3.พื้นฐานจากการได้มาซึ่งผลประโยชน์ (Interest)
กล่าวคือ ในช่วงแห่งโลกยุคสงครามเย็น (The Cold War) จากประมาณปี ค.ศ. 1945 – ค.ศ. 1991 เป็นช่วงการขับเคี่ยวกันระหว่าง 2 ค่ายหลักต่างอุดมการณ์ คือค่ายโลกเสรี นำโดยสหรัฐอเมริกา ที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ กับค่ายโลกคอมมิวนิสต์ หรือหลังม่านเหล็ก (The Iron Curtain) ที่นำโดยสหภาพโซเวียต โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะสนับสนุนหรือค้ำจุนประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมิต้องคำนึงว่าประเทศเหล่านั้นจะมีการปกครองบ้านเมืองในรูปแบบใด เพียงแต่ขอให้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เป็นการเพียงพอ โดยในขณะเดียวกัน ทางฝ่ายสหภาพโซเวียตก็ได้เพียรพยายามขยายอิทธิพล เปลี่ยนแปลง และแทรกแซงประเทศต่างๆ ให้เปลี่ยนเป็นสังคมคอมมิวนิสต์
แต่ในที่สุดแล้ว ฝ่ายโลกเสรีก็สามารถกุมชัยชนะจากเหตุการณ์การทำลายกำแพงเบอร์ลิน จนนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต จากประมาณปี ค.ศ. 1991 โลกได้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้นจากการสิ้นสุดของสงครามอุดมการณ์ต่างๆ ประกอบกับเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ได้อำนวยให้โลกสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และไร้พรมแดน ส่งผลให้ความรู้สึกนึกคิดของชาวโลกโดยทั่วไปก็คือ การอยู่ร่วมกันที่ปราศจากการขัดแย้งทางอุดมการณ์ สามารถติดต่อไปมาหาสู่กันได้อย่างง่ายๆ และไร้การกีดขวาง พร้อมกับให้ความหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ภายใต้การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ในการนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ยิ่งมีความกระตือรือร้นในการนำเอาเรื่องการส่งเสริม เสริมสร้าง ให้ประชาธิปไตยเป็นของคู่บ้านคู่เมืองให้กับประเทศต่างๆ ถึงขั้นที่ได้เข้าไปแทรกแซงในกิจการภายในของบางประเทศ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบระบอบที่เป็นเผด็จการให้มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (Regime change) เท่ากับว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จากประมาณปี ค.ศ. 1991 ถึงประมาณปี ค.ศ. 2017 นั้น เป็นนโยบายต่างประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่เป็นเลิศ (Idealism)
จนเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างปี ค.ศ. 2017 – 2020 เป็นรอบแรก และรอบที่สอง ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2025 จนถึงบัดนี้ เขาก็ได้กระทำการสลัดทิ้งซึ่งนโยบายต่างประเทศแห่งอุดมคติดังกล่าว (ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มาขัดตาทัพอยู่ 4 ปี ช่วง ค.ศ. 2021-2024 พร้อมกับนโยบายแห่งอุดมคติดังกล่าว) และดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างแข็งขัน ที่มีเรื่องผลประโยชน์เป็นพื้นฐาน โดยมิได้คำนึงเรื่องอุดมการณ์ หรืออุดมคติแต่อย่างใด
นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จึงเป็นเรื่องของการเอาสหรัฐฯ เป็นตัวตั้ง ที่ชาวโลกจะต้องตอบรับ และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วย (America First) ซึ่งเป็นการเจรจาต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แบบ “หมูไปไก่มา” และประเทศหนึ่งใดจะพึ่งพาสหรัฐฯ หรือจะให้สหรัฐฯ ช่วยเหลือ ประเทศเหล่านั้นก็ต้องออกแรงออกกำลังด้วย “จะตีกิน” หรือ “จะแบมือ” ขอรับความช่วยเหลือแต่เพียงอย่างเดียวแบบที่ผ่านๆ มาไม่ได้อีกแล้ว อีกทั้งสหรัฐฯ ก็เห็นว่าการเจรจากันแบบพหุภาคีในกรอบขององค์การระหว่างประเทศหนึ่งใดนั้นเป็นเรื่องยืดยาดเสียเวลา และเรื่องอะไร ที่สหรัฐฯ จะต้องไปออกค่าบำรุง ค่าสมาชิกสูงที่สุดในโลก เขาจึงเห็นว่าการเจรจาแบบตัวต่อตัว หรือเป็นเรื่องๆ ไป จะดีกว่าการเจรจาแบบมากคนมากเรื่อง
เมื่อวันนี้ สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ มีแสนยานุภาพมากที่สุดในโลก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศต่างๆ ต้องรับฟัง นำไปคิด แล้วกลับมาเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ จะมาอ้างว่าเป็นพันธมิตรกัน มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยร่วมกัน มีความสัมพันธ์กันยาวนานแต่อดีต ก็จะไม่เป็นการเพียงพอในการเจรจา เพราะเป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญหรือคำนึงถึง
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับประเด็นที่ว่า แต่ละประเทศจะตอบสนองความต้องการ หรือจุดยืนของฝ่ายสหรัฐฯ ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งโดยภาพรวมก็ดูจะไม่ค่อยจะดีนักสำหรับชาวโลก เพราะฝ่ายสหรัฐฯ ทำตัวเป็นผู้กำหนดเรื่องราว และเงื่อนไขแต่ฝ่ายเดียว แต่อย่างน้อยฝ่ายสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ตั้งโต๊ะเจรจารอทุกประเทศเอาไว้ ซึ่งก็เป็นการแสดงว่าฝั่งตนยังใฝ่หาข้อยุติในเรื่องความขัดแย้งต่างๆ ด้วยสันติวิธี คือการเจรจาทางการทูต
มีคำถามว่า เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หมดวาระลง แล้วพื้นฐานนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นหรือไม่? ก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา แต่อารมณ์ของชาวอเมริกันที่ไม่ต้องการเห็นสหรัฐฯ ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือได้รับการปฏิบัติอย่างไม่คู่ควรหรือเป็นธรรมนั้น เกิดขึ้นก่อนการเข้ามาเล่นการเมืองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นานแล้ว และการที่เขาได้รับชัยชนะการเลือกตั้งก็เพราะเขาสามารถอ่านอารมณ์ และสภาวะจิตใจของชาวอเมริกันส่วนหนึ่งไว้ได้มากกว่าคู่แข่งขันอื่นๆ ซึ่งกระแสความรู้สึกนึกคิดว่าสหรัฐฯ จะต้องเป็นใหญ่ในโลกนั้น คงจะไม่จืดจางหายไปง่ายๆ แม้จะหลังการลาจากเวทีการเมืองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตามที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี