ควันหลงหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อให้เกิดคำถามและประเด็นที่จะต้องตามต่อมากมาย
1) ต่อไปใช้บรรทัดฐานแบบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณในการตอบการอภิปรายกันดีไหม ไม่ต้องเสียเวลาหาข้อมูลมาตอบข้อซักถามให้มากมาย ก็ได้คะแนนโหวตเยอะแยะ
2) รอยร้าวจากการไม่โหวตคนนั้น โหวตคนนี้ ตามมามากมาย ทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ ในพรรคพลังประชารัฐในพรรคก้าวไกล จนเกิดข้อสงสัยว่า สมาชิกสภาควรโหวตตามความเป็นจริงของการอภิปรายหรือต้องโหวตไปตามทิศทางที่พรรคกำหนด
3) เนื่องจากมีข้อกล่าวหาในทำนองว่าเป็นการประพฤติมิชอบด้วยหลายเรื่อง ใครจะเดินต่ออย่างไรในเรื่องนี้
4) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ ออกมาเขย่าซ้ำหลังการอภิปรายว่า ขอชื่นชมการทำงานของพรรคฝ่ายค้านในสภาที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ อีก 9 รมต. ได้อย่างดีเยี่ยม สร้างความสั่นสะเทือนให้กับรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์อย่างมาก โดยล่าสุดผลการสำรวจความเชื่อมั่นของรัฐบาลหลังการอภิปรายปรากฏว่า ประชาชนไม่เชื่อมั่นเลยมีถึง 43.25% ประชาชนเชื่อมั่นน้อยลงมี 23.28% แสดงว่า ประชาชนเชื่อมั่นน้อยลงถึงไม่เชื่อมั่นเลยมีถึง 66.53% หรือ ประมาณ 2 ใน 3 ของประชาชนทั้งหมด ซึ่งสูงมาก แสดงถึงว่าประชาชนหมดความหวังกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว นอกจากนี้ ประชาชนยังให้คะแนนฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล 6.90 ต่อ 5.01 จากคะแนนเต็ม 10
ทั้งนี้ ประชาชนจำนวนมากรวมถึงสื่อมวลชนต่างเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศมาตลอด 6 ปี และไม่สามารถตอบการอภิปรายเรื่องเศรษฐกิจให้ประชาชนเข้าใจได้เลย อธิบายเป็นเหมือนการอ่านแบบไม่เข้าใจ ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศมีแต่จะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ การที่พลเอกประยุทธ์ได้ให้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ออกมาชี้แจงทางเศรษฐกิจ 8 ข้อ หลังการอภิปราย ยิ่งทำให้ดูแย่ไปกันใหญ่ นอกจากจะเป็นแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แบบมั่วๆ แล้ว ยังสร้างความตลกขบขันให้กับประชาชนที่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือให้กับรัฐบาลมากยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันนี้ไม่มีประชาชนคนไหนไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ทรุดโทรมอย่างหนัก ไม่รู้จะออกมาแก้ตัวมั่วๆ แบบนั้นทำไม ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังไม่รู้ปัญหาเลยและยังไม่สำนึกถึงความยากลำบากของประชาชนเข้าไปใหญ่ ความจริงคือเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ตั้งแต่สมัยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์บริหารแล้ว การปลดนายสมคิดเท่ากับเป็นการยอมรับความล้มเหลวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” นายพิชัย กล่าว
5) ในประเด็นนี้ ผมเห็นต่างจากนายพิชัย เพราะการอภิปรายส่วนใหญ่ เป็นการอภิปรายที่ยังไม่เข้าเค้า “ไม่ไว้วางใจ”ได้เลย เป็นแค่การอภิปรายทั่วไป การตั้งกระทู้ หรือญัตติเท่านั้นน้ำหนักเบาบาง หวังผลทางการเมืองมากกว่า “เปิดแผล” ที่เป็นแผลใหญ่ร้ายแรง
6) นายพิชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์และ 9 รมต. แม้จะได้รับเสียงโหวตผ่านการอภิปรายเพราะพวกมากลากไป แต่ยังไม่ได้ตอบข้อสงสัยคาใจประชาชนจำนวนมากในประเด็นการเอื้อประโยชน์และการทุจริตคอร์รัปชั่นในส่วนที่พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายไว้ 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้
1. เรื่องเหมืองทองอัครา รัฐบาลได้มีการให้สัมปทานสำรวจแร่ 4 แสนไร่แก่บริษัทจริงหรือไม่ ทำไมถึงให้ ทั้งๆ ที่ยังมีคดีฟ้องร้องกับพลเอกประยุทธ์ค้างอยู่ เป็นการให้สัมปทานเพื่อไกล่เกลี่ยคดีกันใช่หรือไม่ หากใช่จะเป็นการนำสมบัติชาติไปแจกเพื่อแก้ปัญหาความผิดพลาดของตนเองที่ใช้ ม. 44ใช่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์จะต้องตอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน
2. เรื่องทุจริตถุงมือยาง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์จะมาอ้างไม่รู้ไม่เห็นกับความเสียหาย 2,000 ล้านบาท ที่มีการทุจริตในการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางมูลค่ากว่าแสนล้านบาทไม่ได้ เพราะประธานองค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นคนที่นายจุรินทร์เสนอแต่งตั้งผ่าน ครม. เอง จะมาบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ และหากเป็น รมว.พาณิชย์ แล้วไม่รู้เลยว่าหน่วยงานในสังกัดมีสัญญาซื้อขายสินค้ากว่า แสนล้านบาทก็ไม่ควรจะเป็น รมว.พาณิชย์ต่อไปแล้ว และนายจุรินทร์จะต้องร่วมรับผิดชอบกับความเสียหายครั้งนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้เรื่องนี้สร้างความเคลือบแคลงใจ ถึงขนาด สส. พรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวกันเอง ยังไม่ยอมยกมือให้ถึง 3 คน
3. เรื่องปัญหารถไฟฟ้าสายต่างๆ และระบบคมนาคม ทั้งการต่อสัญญาสัมปทานข้ามศตวรรษ และการยกเลิกการประมูล ที่ยังไม่สามารถตอบข้อซักถามให้ชัดเจนได้ ขนาด สส.ของพรรคพลังประชารัฐยังไม่ยกมือให้ รมว. คมนาคมถึง 6 คน
4. เรื่องการลักลอบขนแรงงานเถื่อน โดยมีข้อสงสัยว่า มีการให้ผลประโยชน์ถึงคนในรัฐบาล รัฐบาลก็ยังไม่สามารถตอบการอภิปรายได้
5. เรื่องการนำเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานไปให้ กอ.รมน. และ ศอ.บต. กว่า 1,232 ล้านบาท ที่อยู่ภายใต้พลเอกประยุทธ์โดยตรง มีปัญหาอุปกรณ์แพง ใช้การไม่ได้แถมบางแห่งล่องหน อีกทั้งยังมีปัญหาการตรวจรับงาน เหมือนเป็นการนำเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานไปแจกให้ละเลงกัน พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตอบ ซึ่งถามว่าพลเอกประยุทธ์จะรับผิดชอบอย่างไร
“นี่เป็นเพียงบางเรื่องที่มีปัญหาอย่างชัดเจนและเป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่มีการชี้แจงให้กระจ่าง และยังมีอีกหลายเรื่องที่พลเอกประยุกต์และ 9 รมต. ยังไม่ได้ชี้แจงหรือชี้แจงไม่ชัดเจน จึงทำให้รัฐบาลสอบตกการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ในสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ดังนั้น พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องรู้ตัวแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดคือพลเอกประยุทธ์น่าจะต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แล้วรีบจัดการเลือกตั้ง ก่อนที่ประชาชนจะแห่กันออกมาไล่เหมือนที่เกิดในประเทศพม่า ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นก็จะสายไปแล้ว” นายพิชัย กล่าว
7) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีฝ่ายค้านจะยื่นเรื่องถุงมือยางไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ว่า ตนไม่มีอะไรเป็นห่วงเพราะเรื่องได้ให้ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ ป.ป.ช.ไปก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย.2563 หลังตนทราบเรื่องไม่ถึง 10 วันและเรื่องกำลังเข้าสู่การไต่สวนของ ป.ป.ช. โดย ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนและได้อายัดเงิน 2,000 ล้านบาทแล้ว
“ผมเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้ปราบโกง ไม่ใช่เข้าไปร่วมโกง หรือสมคบกับใครทำทุจริต และขอยืนยันว่าจะจัดการกับผู้เกี่ยวข้องในทางมิชอบโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ทั้งทางวินัย แพ่งและอาญา เพื่อเอาคนผิดเข้าคุกและให้
คนผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับ อคส.ให้ได้”
นายจุรินทร์กล่าวว่า ขณะนี้รับทราบความคืบหน้าจากผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ว่าได้เร่งรัดให้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงให้เร่งสอบสวนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว หลังจากนั้นถ้าพบผู้กระทำผิดกี่คนก็จะเร่งตั้งกรรมการลงโทษทางวินัยและตั้งกรรมการชี้ความรับผิดทางละเมิดคือระบุความเสียหายที่ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับ อคส.เป็นรายบุคคล ซึ่งตนได้พูดชัดเจนในสภาแล้วว่าต้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว ส่วนฝ่ายค้านจะไปยื่นเรื่องให้กับ ป.ป.ช.อีก ก็เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน ส่วนจะซ้ำซ้อนกับเรื่องที่ ป.ป.ช.กำลังสอบอยู่แล้วหรือไม่ตนไม่ขอตอบ เพราะเขาพูดไปแล้วไม่ยื่นเดี๋ยวก็จะเสียหน้า แต่เรื่องนี้ตนมอบให้ ผอ.อคส.คนใหม่ยื่นให้ป.ป.ช.สอบไปแล้ว โดยป.ป.ช.สามารถไต่สวนทุกคนได้อยู่แล้วแม้แต่ตนเองหรือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
8) ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวแสดงความเห็นต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ผ่านเพจ “อีจัน” ว่า ในเรื่องของ การขึ้นชี้แจงนั้น ก็เป็นเรื่องความพร้อมของแต่ละรัฐมนตรี ที่มีการทำการบ้านเพื่อตอบคำถามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือที่มีคณะทำงานที่มีความพร้อม สำหรับรัฐมนตรีที่มีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ส่วนตัว ยกให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถ้าวัดเป็นคะแนนนั้น ให้ 9 เต็ม 10 ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ ตอบทุกประเด็น และไม่มีประเด็นที่ตกหล่น ซึ่งทำให้ไม่สามารถนำไปขยายประเด็นทางการเมือง หรือตั้งแง่ทางการเมืองต่อไป ไม่มีเกิดขึ้น มีการนำเสนอพรีเซ็นต์ชี้แจง ที่สมบูรณ์แบบขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านมีการซักถาม ซึ่งบรรยากาศที่เกิดขึ้น มันคือการยกระดับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ถัดมา เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาจารย์วันวิชิต มองว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีพัฒนาการในการใช้โซเชียลมาร่วมในการชี้แจง ใช้โทรศัพท์มือถือมาเปิดแก้ต่าง ประโยคคำพูดของตนเอง ในเรื่องร้อยนายกฯ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ่อนได้ ส่วนในวันถัดๆ มา พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มจะใช้พวกโวหาร การประดิษฐ์คำ คำพูดประเภทเสียดสี เสียดแทง มากขึ้น กว่าการที่จะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา มีความเป็นนักการเมือง
“แต่ในแง่นี้ ส่วนตัวมีความรู้สึกผิดหวัง ในแง่ที่ว่า แทนที่จะตอบคำถามแบบตรงไปตรงมา แล้วก็ลุกขึ้นชี้แจงมากไปหน่อย เรื่องบางเรื่องตัวเองไม่ต้องขึ้นชี้แจงแทน เข้าใจว่า ฝ่ายค้านพาดพิงตัวนายกฯ ทุกเรื่องทุกประเด็นอยู่แล้ว แต่ว่าบางเรื่องนั้น ก็ต้องปล่อยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ที่เกี่ยวข้อง มาใช้พื้นที่ตรงนี้มาอธิบายได้ดีกว่า”
ส่วนรัฐมนตรีที่สอบตกในการอภิปรายครั้งนี้ อาจารย์วันวิชิต มองว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สอบตก ถัดมา เป็น นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สอบตกในการชี้แจงเรื่องแต่งตั้งคนของตัวเอง เข้ามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาธิการ สกสค.) มันเป็นเรื่องหลักธรรมาภิบาล ซึ่งพูดง่ายๆว่า อยากจะตอบในสิ่งที่ตัวเองอยากจะตอบ แต่ไม่ตรงคำถาม รวมทั้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง และอาจจะมีผลต่อพรรคพลังประชารัฐด้วย เพราะอาจจะนำไปสู่การนำไปเป็นข้ออ้าง ของการปรับคณะรัฐมนตรีต่อไปได้
หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ละพรรคคงไปไกล่เกลี่ยปัญหาภายในของกันและกัน พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องเคลียร์ใจ แต่พรรคฝ่ายค้านมีงานใหญ่ คือต้องดำเนินการเอาผิดไปตามกระบวนการในหลายกรณี เรื่องนี้ต้องตามพิสูจน์ “น้ำยา” ฝ่ายค้านกันต่อไป ว่าจะเอาใครเข้าคุก หรือถึงขั้นทำรัฐบาลล่ม เหมือนที่หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ตรวจสอบเรื่อง “จำนำข้าว” บ้างหรือเปล่า!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี