วันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ว่าที่ รมว.ศึกษาธิการ (ในขณะนั้น) ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมี รมว.ศึกษาธิการ เป็นผู้หญิง ว่า ตนไม่แน่ใจ
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า นำคนจบเศรษฐศาสตร์มาบริหารกระทรวงศึกษาธิการ เหมาะสมหรือไม่นั้นอย่าไปพูดอย่างนั้นเลย รัฐมนตรีไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค จึงต้องขอยกพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้ง นายจาตุรนต์ ฉายแสง เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็น รมว.ยุติธรรมโดยโยกมาจากกระทรวงพลังงาน โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชกระแสในวันดังกล่าวว่า “รัฐมนตรีนั้นไม่ใช่ผู้ปฏิบัติการ แต่เป็นผู้กำหนดนโยบาย เป็นผู้บริหาร เพราะฉะนั้น จะจบอะไรมา ถือเป็นนักบริหาร ถ้าเป็นนักบริหารต้องบริหารได้ คือ บริหารคน บริหารเงิน บริหารงาน เขาไม่ได้ตั้งใจว่าหมอเท่านั้นที่ต้องเป็น รมว.สาธารณสุข ครูเท่านั้นต้องเป็น รมว.ศึกษาธิการ ทหารเท่านั้นต้องเป็น รมว.กลาโหม”
นายวิษณุกล่าวว่า ถ้าไปดูในอดีต รมว.หลายกระทรวงที่เราอาจจะยี้เมื่อตอนเข้ามา แต่ต่อมากลายเป็น รมว.ที่ดีมากหรือดีที่สุด เช่น พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น มาเป็น รมว.สาธารณสุข ใครๆ ก็แหย่เรียกหมอเสริฐทำนองว่ายี้ แต่ต่อมา พล.ต.อ.ประเสริฐ เป็นรมว.สาธารณสุข ที่ทำความเจริญให้กับกระทรวงมากที่สุด จนเป็นที่ร่ำลือถึงปัจจุบัน ดังนั้น อย่าไปสนใจเรื่องเช่นนี้
รองนายกฯ วิษณุถนัด ในเรื่อง “การพูด” ท่านเป็นทั้ง “สาลิกาลิ้นทอง” และผู้รอบรู้ในตัวเอง ให้สัมภาษณ์รอบเดียว ปิดจุดตาย ครม. ได้ทั้งคณะเลย (ฮา...) คนฟังเคลิ้มจนลืมไปว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่นี้ มาจากระบบโควตา “ลุงป้อม” ที่ยึดไปจาก กปปส. ในพรรคพลังประชารัฐเป็นสาวจากตระกูล “เทียนทอง” ที่ลุงป้อมกับลุงเหนาะ นายเสนาะ เทียนทอง นั้น สายสัมพันธ์แน่นหนานัก
แต่เอาเถอะ เมื่อพูดถึงการเป็นนักบริหารแล้ว จะเป็นได้ดีหรือไม่ อยู่ที่รู้จักองค์กรที่ตนจะมาบริหารหรือไม่เป็นเรื่องแรก ทั้งยังต้องมีโจทย์ รู้ปัญหา เพื่อจะแก้ปัญหาและ “พัฒนา” ไปพร้อมๆ กัน
จึงขอฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ให้ได้อ่านบทความนี้อย่างใส่ใจ และถ้ามีโอกาสปรึกษาหารือกับผู้เขียน คือศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรค และ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ สุดยอดนักการศึกษาท่านหนึ่งของประเทศไทยแล้วนั้น คงจะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลในการนำไปสู่การปฏิบัติ
ศ.ดร.กนก เขียนไว้ว่า...
“การยกระดับคุณภาพการศึกษา คือ วาระเร่งด่วนที่คนไทยตั้งความหวังกับกระทรวงศึกษาธิการมาเป็นเวลานานแล้ว แต่คุณภาพนักเรียนก็ยังไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม
คำถามที่ต้องการคำตอบคือ อะไรเกิดขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ และเพราะเหตุใดกระทรวงศึกษาธิการจึงไม่สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาได้ตามความคาดหวัง ดังนั้น ผมจึงขออาสาพาทุกท่านเดินเข้าไปในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจะพาไปเห็นภาพของคำตอบของคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน และแจ่มชัดยิ่งขึ้น โดยกระทรวงศึกษาธิการและองคาพยพตั้งแต่ระบบใหญ่สุดไปจนถึงตัวนักเรียน ประกอบด้วยกลไก 4 ขั้น คือ 1.ระบบหลัก3 ระบบ คือ ระบบคุรุสภา, ระบบบริหารงานบุคคล (กคศ.)และระบบสวัสดิการและสวัสดิภาพครู (สก.สค.) 2.ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 3.ระบบเขตพื้นที่การศึกษา (สพม.) และ 4.ระบบโรงเรียนและชั้นเรียน
ปัญหาสำคัญที่ขวางกั้นการยกระดับคุณภาพการศึกษา คือ กลไกทั้ง 4 ขั้นนี้ ทำงานอย่างไม่สอดคล้องกัน กำกับควบคุมกันไม่ได้ และที่สำคัญคือ แต่ละกลไกไม่ได้เน้นไปที่งานหลักของตน
1) ระบบหลัก 3 ระบบของกระทรวงศึกษาธิการ คือ ระบบคุรุสภา สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นกลไกที่จะกำหนดและกำกับมาตรฐานของคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นกับตัวนักเรียน โดยเฉพาะการสร้างมาตรฐาน “วิชาชีพครู” เพื่อประกันว่านักเรียนจะมีครูที่มีมาตรฐานวิชาชีพครูตามที่กำหนด และปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนได้ตามมาตรฐานวิชาชีพครูที่กำหนด แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏคือ คุรุสภาทำหน้าที่เพียงกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูและส่งความต้องการนี้ ไปให้คณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อออกแบบหลักสูตรและการเรียนการสอนให้แก่นักศึกษา ดังนั้น ผลที่ปรากฏคือ บัณฑิตที่จบจากคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ ที่ออกไปเป็นครูสอนหนังสือไม่เป็น แต่ได้รับใบประกาศนียบัตรวิชาชีพครูจากคุรุสภา
ในด้านของตำราเรียน คุรุสภาเป็นองค์กรรับรองคุณภาพตำราเรียนที่ผลิตออกมาเพื่อใช้ทั้งประเทศ ในขณะที่บริบทของนักเรียนในแต่ละภูมิภาคต้องการเนื้อหาการเรียนที่แตกต่างกัน ส่วนหลักการสำคัญของคุรุสภา คือ การสร้างมาตรฐานวิชาชีพครู เพื่อให้ครูสอนนักเรียนตามมาตรฐานวิชาชีพนั้น แต่ในความเป็นจริงพบว่า ครูไม่ได้สอนนักเรียนตามมาตรฐานวิชาชีพครูที่คุรุสภากำหนด
สำหรับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นกลไกที่จะกำกับให้อัตราส่วนจำนวนครูต่อจำนวนนักเรียนเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด (1:25) เพื่อให้ครูสามารถดูแลนักเรียนได้ทั่วถึงในชั้นเรียน ดังนั้น กคศ. จึงเป็นกลไกที่ถือบัญชีจำนวนครูในแต่ละโรงเรียน เพื่อให้ครูแต่ละสาระวิชามีจำนวนสัมพันธ์กับจำนวนชั้นเรียนและนักเรียน เช่น จำนวนครูคณิตศาสตร์มีเพียงพอตามเกณฑ์ของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน (ส่วนคุณภาพการสอนและความรู้คณิตศาสตร์เป็นความรับผิดชอบของคุรุสภา) ซึ่งในความเป็นจริงพบว่า จำนวนครูต่อจำนวนนักเรียนทั่วประเทศสอดคล้องตามเกณฑ์ที่กำหนด แสดงว่าประเทศไทยไม่ขาดแคลนครู แต่เมื่อลงไปดูในระดับโรงเรียนและชั้นเรียน กลับพบว่า มีครูสาระวิชาไม่เพียงพอตามเกณฑ์ และเกิดปัญหาการขาดแคลนครู โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็ก นี่คือปัญหาการขาดแคลนครู ที่กคศ.ไม่สามารถบริหารจัดการได้ และสาเหตุของปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขมาอย่างยาวนานแล้ว
ส่วนระบบสวัสดิการและสวัสดิภาพครูที่คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นกลไกที่สร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตครู ให้ครูมีสวัสดิการและสวัสดิภาพต่างๆ เช่น การรักษาพยาบาล ความช่วยเหลือฉุกเฉิน การสงเคราะห์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ไปจนถึงความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้ครูมีขวัญกำลังใจที่จะทุ่มเทให้กับการเรียนการสอน แต่ในความเป็นจริงพบว่า เงินเดือนและค่าตอบแทนของครูโดยเฉลี่ย สูงกว่าข้าราชการพลเรือนทั่วไป (แม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัย) กระนั้นครูส่วนใหญ่ก็ยังมีหนี้สินมากมาย จนเป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่มีความมั่นคงในชีวิต และส่งผลกระทบต่อความตั้งใจและทุ่มเทในการเรียนการสอน คำถามก็คือ อะไรเกิดขึ้นกับ สก.สค. ที่ทำให้ครูทั้งประเทศเดินมาถึงจุดที่มีหนี้สินมากมายเช่นนี้
จากที่กล่าวข้างต้นนี้ จะเห็นว่า กลไกหลัก 3 กลไก หรือ อาจจะเรียกได้ว่า “เสาหลักของกระทรวงศึกษาธิการ” 3 เสาหลักนี้ ไม่สามารถให้หลักประกันกับครูที่สอนหนังสือและทำให้เกิดการเรียนรู้ของนักเรียนได้ การจะยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านการปฏิบัติหน้าที่การสอนอย่างมีคุณภาพของครู จึงจำเป็นต้องกลับไปแก้ไขและปรับเสาหลักทั้ง 3 นี้ ให้ตั้งตรงและเข้มแข็งเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอย่าได้หวังว่าคุณภาพนักเรียนไทยจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนได้เลย
2) กลไกขั้นที่ 2 ที่ตั้งบนเสาหลัก 3 เสานี้ คือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่รับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนระดับอนุบาล, ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา โรงเรียนกว่า 40,000 แห่ง ครูอีกหลายแสนคน และนักเรียนหลายล้านคน พร้อมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีกว่า 300,000 ล้านต่อปีดังนั้น สพฐ. คือเครื่องจักรที่ใหญ่สุดของกระทรวงศึกษาธิการที่จะขับเคลื่อนคุณภาพการเรียนการสอน เพื่อยกระดับคุณภาพของนักเรียน ซึ่งที่ผ่านมากลไกนี้ มีความสามารถสูงต่อการสนองนโยบายทางการเมืองที่เปลี่ยนไปตามคนที่เป็นรัฐมนตรีและรัฐบาล แต่มีความอ่อนแอที่จะกำกับคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียน อาทิ สพฐ. จะมีโครงการต่างๆ มากมายเพื่อสนองนโยบายทางการเมืองของรัฐมนตรี เช่น ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ คูปองครู ครูคืนถิ่น เป็นต้น คำขวัญของนโยบายฟังดูดีทั้งหมด แต่การปฏิบัติไม่เกิดผลสำเร็จตามนโยบาย และหลายเรื่องถูกยกเลิกหรือจางหายไปเมื่อเปลี่ยนรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามากำกับควบคุม นี่เองที่ทำให้ความต่อเนื่องของการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาจึงยังไม่เกิดขึ้น
เมื่อปัญหาพื้นฐานที่สำคัญของ สพฐ. คือ การไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพในโรงเรียนและชั้นเรียนได้ งบประมาณมหาศาลในแต่ละปีจึงเป็นงบประมาณที่ต้องจ่ายเพื่อการคงสภาพโรงเรียนและครูเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเรียนการสอนก็เดินไปตามสภาพดังเช่นที่ผ่านมา
3) กลไกขั้นที่ 3 ที่ตั้งบนโครงสร้างของ สพฐ. คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา หลักการสำคัญของสำนักงานเขตพื้นที่ (สพท.) คือการบริหารโรงเรียนในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบให้สามารถจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ ในแต่ละ สพท. จะมีโรงเรียนประมาณ 200 แห่งที่ต้องรับผิดชอบ และการบริหารคุณภาพการศึกษา สพท. มีศึกษานิเทศ (ศน.) เป็นเครื่องมือสำคัญ หน้าที่ ศน. ที่กำหนดไว้คือ การศึกษาวิจัยโรงเรียนและชั้นเรียน เพื่อนำไปช่วยปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนและชั้นเรียน แต่ในความเป็นจริงพบว่า สพฐ. ไม่ได้มอบอำนาจให้ สพท. เพื่อให้สามารถพัฒนาโรงเรียนและชั้นเรียนในพื้นที่ที่รับผิดชอบได้ เช่น งบประมาณเพื่อการพัฒนาโรงเรียนและชั้นเรียนมีน้อย และถ้าต้องการมากกว่านั้นต้องทำโครงการเสนอ สพฐ. ในส่วนกลางซึ่งมักจะไม่ได้รับการสนองตอบ ตรงกันข้าม สพฐ. จะกำหนดหัวข้อการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาโรงเรียนหรือการศึกษาตามประเด็นที่ สพฐ. เห็นว่าสำคัญ ดังนั้นการศึกษาวิจัยที่ สพท. ต้องทำโดย ศน. จึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับโรงเรียนที่ สพท. รับผิดชอบ
ปัญหาสำคัญระหว่าง สพฐ. และ สพท. คือ ประเด็นการมอบอำนาจและการประเมินผลงาน เมื่อนโยบายและการบริหารนโยบายเชิงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สพฐ.ไม่นิ่ง การมอบอำนาจย่อมทำไม่ได้ เพราะผู้มอบอำนาจก็ไม่มีเรื่องที่จะมอบให้ และการประเมินผลเชิงผลลัพธ์สุดท้าย (Outcomes) ของการจัดการศึกษาที่เน้นคุณภาพของนักเรียนที่ สพท. รับผิดชอบ จึงไม่สามารถทำได้
4) กลไกขั้นที่ 4 ตั้งบนพื้นฐานของ สพท. คือ โรงเรียนและชั้นเรียน คุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นที่โรงเรียนและชั้นเรียน นั่นหมายความว่า การยกระดับคุณภาพ
การศึกษาเกิดขึ้นได้ที่ชั้นเรียนเท่านั้น ในชั้นเรียนประกอบด้วยครู, นักเรียน และบรรยากาศในชั้นเรียน
ชั้นเรียนที่จะสร้างนักเรียนคุณภาพได้นั้นขึ้นอยู่กับ
1.ครูต้องมีความรู้ในสาระวิชาที่สอน ครูมีวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ และครูมีใจที่อยากสอนและทุ่มเทให้กับการสอน
2.นักเรียนต้องมีความสนใจและตั้งใจที่จะคิดและแก้โจทย์ปัญหาตามที่ครูชี้นำ นักเรียนจะต้องสรุปประเด็นของสาระหรือเนื้อหาที่ครูนำเสนอ พร้อมกับสาระที่เพื่อนนักเรียนช่วยกันคิดและอภิปรายตอบโจทย์ปัญหาของครู (การสรุปประเด็นคือ การนำเนื้อหาของเรื่องที่เรียนมาจัดเรียงให้เกิดความหมาย)
3.บรรยากาศในชั้นเรียนต้องเป็นสภาพแวดล้อมที่เปิดให้นักเรียนคิด ครูมีประเด็นให้นักเรียนคิด ครูเตรียมอุปกรณ์ที่จะช่วยให้นักเรียนคิด พร้อมกับตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ จากนั้นครูจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อประเด็นโจทย์ปัญหาที่ครูตั้งขึ้น และสุดท้ายนักเรียนต้องสรุปประเด็นการเรียนรู้จากโจทย์ปัญหาของครูในคาบชั่วโมงนั้น เมื่อนักเรียนเดินออกจากห้องเรียน นักเรียนต้องเดินออกไปพร้อมกับความเข้าใจต่อเรื่องที่เรียนในชั่วโมงนั้นๆ ดังนั้น บรรยากาศที่เปิดให้นักเรียนได้คิดและเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นบรรยากาศที่ครูต้องเตรียมออกแบบมาก่อน เมื่อนักเรียนฝึกปฏิบัติวิธีการเรียนเช่นนี้จนเป็นนิสัยแล้ว กระบวนการสอนของครูสู่การเรียนรู้ของนักเรียนก็จะพัฒนากลายเป็นประเพณีปฏิบัติหรือวัฒนธรรมการเรียนรู้ของชั้นเรียนไปในที่สุด
จากที่กล่าวถึง กลไก 4 ขั้น ตั้งแต่เสาหลักของกระทรวง(คุรุสภา, กคศ. และ สก.สค.), สพฐ., สพท. ไปจนถึงโรงเรียน และชั้นเรียน จะต้องมุ่งตรงสู่ “ตัวนักเรียน”เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้สำเร็จ นั่นหมายความว่า กลไกทั้ง 4 ขั้นตอนจะต้องทำงานอย่างสอดคล้องประสานกันเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายร่วมกันคือ “ตัวนักเรียน” เท่านั้น
ปัญหาระบบการศึกษาในปัจจุบัน คือ กลไก 4 ขั้นตอนนี้ตอบโจทย์ภาระงานของตนเองเป็นหลัก ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตัวนักเรียน กลไกเหล่านั้นได้แต่คาดหวังว่า เมื่อตนทำหน้าที่ของตนสำเร็จแล้วจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของนักเรียนโดยปริยายตามไปด้วย และผลลัพธ์ที่ปรากฏคือกลไกทั้งหลายล้วนแต่ใช้งบประมาณปีละกว่า 300,000 ล้าน แต่ผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้เกิดกับคุณภาพของนักเรียน นี่คือปัญหาพื้นฐานของระบบการศึกษาไทย
ถึงเวลาแล้วครับ ที่การศึกษาไทยจะต้องมี “ความแม่นยำ” คือ การระดมสรรพกำลังทั้งหมดเล็งตรงเป้าหมายไปที่ตัวนักเรียน และวัดผลสำเร็จด้วยคุณภาพของตัวนักเรียนตั้งแต่สมรรถนะ (Competencies), ทักษะ (Skills),อัตลักษณ์ (Character) และจริยธรรมและศีลธรรม(Ethics and Morals) ของนักเรียน นี่คือ “การศึกษาแม่นยำ” ที่ประเทศไทย และคนไทยต้องการครับ
เมื่อเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อรับตำแหน่งแล้วเสร็จแล้ว ขอให้ท่านรัฐมนตรีตรีนุชอ่านบทความนี้และโทรศัพท์นัดหมาย ขอคำแนะนำจาก ศ.ดร.กนกวงษ์ตระหง่าน ทันทีเลยนะครับ ท่านไม่หวงความรู้ แม้จะอยู่ต่างพรรค แต่สำหรับ ศ.ดร.กนกแล้ว ประชาชนและประเทศชาติ มาก่อนเรื่องอื่นๆ เสมอ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี