ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตั้งพรรคอนาคตใหม่ โดยอาศัย “ความคิดก้าวหน้า” ของตน นายปิยบุตร แสงกนกกุล และช่อ-พรรณิการ์ วาณิช เป็นเครื่องมือ “ส่งเสริมการขาย”
แรกทีเดียวก็หวือหวา กับความคิดแบบใหม่ในท่ามกลางความเบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่า และฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยในยุคร่วงโรย บวกกับความเก่งในการใช้สื่อสังคมออนไลน์สสร้างกระแส พร้อมๆ กับได้รับอานิสงส์จาก“พรรคไทยรักษาชาติ”ถูกยุบตั้งแต่ยังไม่ทันได้เลือกตั้ง พรรคอนาคตใหม่จึงผงาดขึ้นในยุทธภพการเมืองไทย และถูกพรรคเพื่อไทย ผลัก “ธนาธร” ขึ้นชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ประกบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่แล้ว “วันเวลาก็พิสูจน์” ว่าธนาธรและพรรคอนาคตใหม่มิได้ใหม่จริง และเป็นพรรคบ้าน้ำลายมากกว่าพรรคฝ่าย “ปฏิบัติ”
ธนาธร มีปัญหาเรื่องหุ้นสื่อ, ปล่อยกู้พรรคผิดกฎหมาย,บุกรุกครอบครองที่ดินผิดกฎหมาย และล่าสุดคือเข้ารับทราบข้อหา ม.112 จากกรณีเฟซบุ๊คไลฟ์เรื่องการจัดการวัคซีนของรัฐบาล พาดพิงไปถึงในหลวงรัชกาลปัจจุบัน
หลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ธนาธรกับพวกถูกตัดสิทธิทางการเมือง พรรคได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคก้าวไกลนำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทำงานในฐานะนิติบัญญัติเป็นหลัก ซึ่งไม่โดดเด่นเท่าใดนัก
ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ ไม่รามือ ตั้งกลุ่มการเมืองชื่อ“คณะก้าวหน้า”ใช้วาจาทำงานการเมืองต่อ รุกคืบเรื่องสถาบัน เรื่องยกเลิกหรือแก้ไข ม.112 และต้องสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังม็อบ 3 นิ้ว
ทันทีที่ชัดเจนเรื่องไม่สนับสนุนพระเกียรติยศ พระบารมี ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้าแทรกแซงทางสังคม ตั้งแต่ชั้นด่าทอ ไสส่ง เปิดเพลงหนักแผ่นดินรับ เข้าเผชิญหน้าตั้งคำถามตามสถานที่ต่างๆ ตลอดจนรณรงค์ไม่เลือกคนไม่เอาเจ้า!!
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาจังหวัด (อบจ.) คณะก้าวหน้าจึงล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะธนาธรกับพวกไป “เล่นใหญ่” ไว้ตามที่ต่างๆ มากมาย
พอมาถึงการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลทั่วประเทศ พวกเขา “เล่นเล็กลง” แต่ยังคงตั้งความหวังไว้สูงว่า เขตเล็กๆ น่าจะชนะได้บ้างล่ะน่า
ภายหลังการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกเทศบาลที่ผ่านไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางคณะก้าวหน้า โดยการนำของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่ส่งผู้สมัครนายกเทศมนตรีทั้งประเทศ ประมาณ 100 กว่าแห่ง โดยผลการเลือกตั้งที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ คณะก้าวหน้าได้เก้าอี้ระดับเทศบาลมา คือ นายกเทศมนตรีตำบล 12 แห่งแยกเป็นลำพูน 1 แห่ง, ร้อยเอ็ด 3 แห่ง, หนองบัวลำภู 3 แห่ง, อุดรธานี2 แห่ง, มุกดาหาร 2 แห่ง และสมุทรปราการ 1 แห่ง นั้น
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นนักวิชาการที่ติดตามเรื่องการเมืองการเลือกตั้งท้องถิ่นมาต่อเนื่อง มองผลการเลือกตั้งระดับเทศบาลทั่วประเทศที่ออกมาว่า คณะก้าวหน้าปูทางตัวเองในสนามท้องถิ่นมาจากความสำเร็จในระดับชาติ (พรรคอนาคตใหม่) เลยทำให้คณะก้าวหน้ามีความฮึกเหิม ลงมาเล่นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นแบบเล่นใหญ่และคาดหวังสูง โดยวางน้ำหนักไว้ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)มากที่สุด เห็นได้จากการส่งคนลงชิงนายก อบจ. ร่วม 42 จังหวัดรวมถึงการส่งคนลงชิงสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอีกจำนวนมาก ซึ่งเมื่อไปเน้นสนาม อบจ. ในตอนแรก เลยทำให้คณะก้าวหน้า มองข้ามความสำคัญของสนามเทศบาลไป
ซึ่งจริงๆ โดยศักยภาพของคณะก้าวหน้า เหมาะที่จะไปเล่นสนามเทศบาลมากกว่า อบจ. ในแง่ที่เป็นกลุ่มการเมืองที่เน้นคนรุ่นใหม่ เน้นฐานเสียงที่เป็นอิสระในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับผู้นำท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น ไม่ต้องพึ่งพาการอุปถัมภ์ภายในจังหวัด ทำให้สนามเทศบาลจะเหมาะกับคณะก้าวหน้ามากกว่าสนาม อบจ. เพราะอย่างไอเดียการหาเสียงตอนคณะก้าวหน้าใช้หาเสียงตอนเลือกตั้ง อบจ. หลายเรื่องใช้ได้ดีกับเทศบาล ไม่ใช่ใช้กับอบจ. เพราะสิ่งที่คณะก้าวหน้าหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้ง อบจ. ในความเป็นจริงแล้ว อบจ. ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่คณะก้าวหน้าหาเสียง แต่เป็นการเมืองในระดับเทศบาลที่จะทำ
อย่างเรื่องงบประมาณ เทศบาลมีงบเยอะกว่า อบจ.และเป็นงบพัฒนาทั้งสิ้น เช่น เทศบาลนครนนทบุรี มีงบถึง 2,600 ล้านบาท ที่ท้องถิ่นสามารถนำงบไปพัฒนาในพื้นที่เช่นการทำโครงการหรืองานด้านบริการประชาชนได้มากมาย แต่เมื่อคณะก้าวหน้าไปเทน้ำหนักไว้ที่ อบจ. ทำให้พอมาถึงสนามเทศบาลเลยดูดาวน์ลง ไอเดียต่างๆ ก็ปล่อยออกไปหมดแล้วตอน อบจ.แล้วก็ล้มเหลว แทนที่คณะก้าวหน้าจะเก็บไอเดียเหล่านั้นมาใช้ตอนเลือกตั้งเทศบาล ที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
“พอคณะก้าวหน้าวางแผนมาผิด ก็ต้องรับสภาพไป ทั้งที่สนามเทศบาล โอกาสดีกว่า อบจ. คณะก้าวหน้าควรจับสนามเทศบาลไว้แต่แรกมากกว่า ไม่ควรไปมองสนาม อบจ.ที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา เพราะขายังไม่แข็งพอเขาก็ต้องไปทบทวนอีกเยอะ การเมืองรอบนี้ตั้งแต่ระดับชาติไล่ลงมาก็สอนอะไรกลุ่มเขาเยอะ” นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า ระบุ
ดร.สติธร กล่าวถึงภาพรวมการเลือกตั้งเทศบาลที่ผ่านพ้นไปว่า พบว่าเกิดการเขย่าของการเมืองในพื้นที่เลือกตั้งกันมาก หลายแห่งเกิดการเปลี่ยนแปลง คนที่เคยชนะเลือกตั้งรอบที่แล้วที่เป็นแชมป์เก่าพบว่ารอบนี้ผลเลือกตั้งออกมาก็โดนล้มทำให้แพ้เลือกตั้ง แต่ไม่ได้ล้มโดยกลุ่มใหม่ๆ อย่างคณะก้าวหน้าไปล้มคนเก่า แต่ถูกล้มแชมป์โดยกลุ่มการเมืองเดิมๆ กันเองในพื้นที่ เช่น คนที่เคยอยู่ทีมเดียวกันแล้วเลือกตั้งรอบนี้แยกตัวออกมาแข่งกันเอง นอกจากนี้ก็พบการผสมผสานในทีมเลือกตั้งระดับเทศบาล ที่มีคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาในสนามเทศบาล ที่ไปล้มทีมเดิมๆ ในพื้นที่ได้เพราะคนเหล่านี้ไปสร้างการสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ๆ ในพื้นที่ เช่นนักธุรกิจผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นักเคลื่อนไหวนักพัฒนารุ่นใหม่ในจังหวัด ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวเมื่อไปสนับสนุนกลุ่มการเมืองใหม่ๆ ที่ลงเลือกตั้งในท้องถิ่น จะทำให้กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนมีพลังในพื้นที่ เพราะเป็นกลุ่มที่มีการสร้างเครือข่ายผู้คนในพื้นที่ได้จำนวนมากพอสมควร เลยทำให้มีพลังไปล้มยักษ์ในพื้นที่ได้ ส่วนนักการเมืองระดับเทศบาลที่ยังชนะเลือกตั้งรอบนี้ที่หลายคนอยู่มาหลายสมัยเป็นคนรุ่นเก่า ก็พบว่า ส่วนใหญ่ต่างก็มีการปรับตัว ปรับโฉมตัวเองให้ดูทันสมัยมากขึ้น เอาคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในทีมผู้บริหารเทศบาล จึงทำให้ยังอยู่ได้จนได้รับเลือกตั้ง พูดง่ายๆ ใครปรับตัวได้ดีกว่า ก็มีโอกาสชนะในสนามเทศบาลที่ผ่านไป
สำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นลอตต่อไป ก็คือการเลือกตั้งระดับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ก็จะมีความเข้มข้นระดับหนึ่งในพื้นที่ เพราะก่อนหน้านี้ ในยุค คสช. มีการแก้ไขพ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลฉบับแก้ไขใหม่ พ.ศ. 2562 ที่ลดจำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือ ส.อบต. จากหมู่บ้านละสองคนให้เหลือหมู่บ้านละหนึ่งคนทำให้การหาเสียงการแข่งขันจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพราะจากเดิมที่เคยเลือกได้สองคนแต่ต่อจากนี้ไปจะเลือกได้แค่หนึ่งคน ขณะที่นายก อบต. ก็ยังเหลือตำบลละหนึ่งคนเหมือนเดิม ก็จะมีประมาณ 6,000-7,000 ตำแหน่งโดยประมาณ และพอจบจากการเลือกตั้งอบต. จะปิดท้ายด้วยการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่จะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นลอตสุดท้าย
ขณะที่ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊คว่า หลังจากที่คณะก้าวหน้าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.มาแล้ว การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นอีกครั้งวานนี้ เป็นระดับนายกเทศมนตรี เทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบล ปรากฏว่าผู้ที่คณะก้าวหน้าส่งลงรับเลือกตั้ง ระดับเทศบาลนคร และเทศบาลเมือง ไม่มีใครชนะการเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว มีที่ชนะก็เป็นระดับตำบล ซึ่งมี 2,247 แห่ง และชนะเพียง 12 แห่งเท่านั้น เป็นความล้มเหลวที่ปฏิเสธไม่ได้อีกครั้ง
ผลการเลือกตั้งสองครั้งบ่งชี้ว่า ผู้ที่มีความสนใจการเมืองส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วยกับแนวทางของคณะก้าวหน้า เขาจึงไม่เลือก เมื่อประชาชนแสดงเจตนาชัดขนาดนี้ หากยังมีพวกที่ยังคงดึงดันหาเรื่องโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วอ้างว่าทำด้วยความหวังดี แสดงว่าพวกเขาไม่ฟังเสียงประชาชนที่พวกเขาชอบนำมาอ้างเป็นประจำ
ยิ่งกว่านั้น หากยังไม่ยอมหยุด ย่อมแสดงว่า พวกเขามีวาระซ่อนเร้นที่ไม่สามารถล้มเลิกได้เป็นแน่ สถาบันพระมหากษัตริย์จะคงอยู่ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชน ไม่ต้องอาศัยให้พวกคุณทั้งหลายมาช่วยทำเพื่อความหวังดีแต่ประสงค์ร้ายเลย บัดนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ออกมาบอกและยืนยันเจตนาของเขาแล้ว โปรดทราบไว้ด้วย
แต่เฟซบุ๊คเพจคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความ ระบุว่า “4 ปีนับจากนี้ เราจะทำเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ว่าผู้บริหารท้องถิ่น สามารถสร้างอนาคตใหม่ให้กับประชาชนได้ คณะก้าวหน้าขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงจากประชาชน ที่ออกมาเลือกทีมเทศบาลคณะก้าวหน้าทั่วประเทศ ปลายปากกาของท่านได้เปิดโอกาสให้นักการเมืองที่มีความตั้งใจ มีวิสัยทัศน์ ได้เข้าไปใช้ความสามารถพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองในกว่า 10 ท้องถิ่น
4 ปีนับจากนี้ เราจะทำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ว่าผู้บริหารท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่า ก้าวหน้ากว่า ให้กับพื้นที่ของตัวเองได้ เราจะเร่งทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้โดยเร็วที่สุด โดยอยู่บนหลักการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และประชาชนมีส่วนร่วมกับการบริหารท้องถิ่นในทุกมิติ 4 ปีนับจากนี้ คณะก้าวหน้าจะทำเต็มที่ เพื่อบ้านของเราทุกคน”
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปก็คือ
1) “คนเสื้อแดง” รวมถึงแกนนำ นปช. รุกคืบเข้ามาสู่พื้นที่การชุมนุมมากขึ้น ธนาธรกับพวกจะถือโอกาสถอยออกไปทำแนวรบด้านโซเชียล ลดแรงเสียดทานทางสังคมบ้างหรือไม่
2) พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า จะแปลงสภาพ “พรรคพูด” เป็น “พรรคทำ” บ้างหรือเปล่า อย่างน้อยๆ เขตเทศบาลที่ตนชนะ ควรเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการ “ทำให้เห็น”ว่าไม่ใช่แค่ “พูดมาก” หรือ “พูดกระทบเจ้า” อย่างเดิมอย่างเดียว
3) จะเห็นว่า พรรคเพื่อไทยเริ่มจัดกระบวนทัพใหม่ ลอกคราบ เกิดพรรคงอก เริ่มย้ายพรรค เตรียมรับเลือกตั้งกันแล้ว แต่ก้าวไกล/ก้าวหน้า ยังย่ำอยูที่เดิม คือเรื่องสถาบัน ราศีที่หมองหมดของธนาธร ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร”เข้ามาเสือกทางการเมืองมากขึ้น ปูทางดึงคะแนนนิยมที่อนาคตใหม่/ก้าวไกล/ก้าวหน้า ดึงไปใช่หรือไม่
รอดู สนาม อบต. กับสนามผู้ว่าฯ กทม.แก๊งธนาธรจะตายอย่างสงบในทางการเมือง หรือพอจะมีอะไรให้ฮึกเหิมต่อ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี