ไม่ต้องถกเถียงกันให้เปลืองเซลล์สมองว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ผิดหรือไม่ผิดในคดีจำนำข้าว เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินแล้ว เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ว่า “ยิ่งลักษณ์ผิด” และสั่งจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา เพียงแต่ว่ายิ่งลักษณ์ ได้หลบหนีไปก่อนแล้ว โดยมีตำรวจกับคณะไปส่งที่ชายแดนไทย-เขมร และผ่านช่องทางธรรมชาติของแนวชายแดนข้ามไปฝั่งกัมพูชา มีรายงานว่ามีรถยนต์ฝั่งกัมพูชามารับต่อ ไปขึ้นเครื่องบิน เพื่อไปลงสิงคโปร์ แล้วขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของพี่ชาย-นายทักษิณ ชินวัตรที่ก็หลบหนีโทษจำคุก และหมายจับอีกหลายคดี ไปอยู่ที่ต่างประเทศด้วยกัน
ฉะนั้น ยิ่งลักษณ์ผิดแน่ และหนีไปเรียบร้อยโรงเรียนแม้วแล้วละครับ ประเด็นคือ ผิดยังไง และในการทำผิดกฎหมายนี้จะต้อง “ชดใช้ความเสียหาย” คืนกลับให้ประเทศหรือไม่ อย่างไร นั่นคือประเด็นตามมา
ก) “ยิ่งลักษณ์” ผิดอย่างไร?
27 ก.ย. 2560 เวลา 15.15 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในคดีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องกรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
โดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุโดยสรุปว่า
1.1 การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูการผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ อีกทั้งเมื่อพบความเสียหายก็ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเป็นระยะ จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหาย ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
1.2 แต่การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยกรมการค้าต่างประเทศ ขายข้าวในสต๊อกของรัฐให้บริษัทกว่างตงและบริษัท ห่ายหนานฯ รัฐวิสาหกิจของมณฑลประเทศจีนนั้น ศาลเคยวินิจฉัยว่าเป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรื่องนี้สส. ได้นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจให้จำเลยทราบ ตลอดจนผู้ประกอบธุรกิจค้าข้าว เป็นบุคคลที่เคยเกี่ยวข้องกับการทุจริตและเคยเป็นผู้ช่วย สส.ที่จำเลยสังกัด กลับได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนของรัฐวิสาหกิจจีนที่มาซื้อข้าว อีกทั้งก่อนหน้านี้ ก็มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จำเลยได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐจริง ภายหลังแม้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่องค์ประกอบคณะกรรมการล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบังคับบัญชาของนายบุญทรง และทำการตรวจสอบไม่ตรงตามประเด็น แสดงให้เห็นว่า ไม่ตั้งใจตรวจสอบอย่างจริงจังและจำเลย (ยิ่งลักษณ์) เพิ่งปรับนายบุญทรงออกจากตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ในวันที่ 30 มิ.ย. 2556
“ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า จำเลย (ยิ่งลักษณ์) ทราบว่า สัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้ง ปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาให้รัฐวิสาหกิจจีนต่อไปอีก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ลงโทษจำคุก 5 ปี”
ข) ต่อมากระทรวงการคลังเลือกที่จะ “เรียกค่าเสียหาย”จากยิ่งลักษณ์ด้วย “คำสั่งทางปกครอง” คือ “คำสั่งทางละเมิด”แทนการฟ้องแพ่ง ซึ่งทำได้ตามกฎหมาย ยิ่งลักษณ์สู้ด้วยการ“ฟ้องกลับ” หลังจากมีการดำเนินการสืบทรัพย์ ยึดอายัดทรัพย์และนำทรัพย์บางส่วนของเธอไปขายทอดตลาดแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เธอขอความคุ้มครองจากศาล มิให้ยึดอายัดทรัพย์สินของเธอ และให้ศาลเพิกถอนคำสั่งทางละเมิดด้วย โดยที่ศาลยกคำร้อง
ค) ยิ่งลักษณ์ จึงยื่น “ฟ้อง” 1.นายกรัฐมนตรี 2.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 3.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง 4.ปลัดกระทรวงการคลัง 5.สำนักนายกรัฐมนตรี 6.กระทรวงการคลัง 7.กรมบังคับคดี 8.อธิบดีกรมบังคับคดี 9.เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 8 ต่อศาลปกครองกลาง โดยเธอเป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1 (อดีต) สามี นายอนุสรณ์ อมรฉัตรเป็นผู้ฟ้องคดีที่ 2 แยกฟ้องเป็น 4 คดี แต่ศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทั้ง 4 คดี เข้าด้วยกัน
ง) ประเด็นหลักที่ศาลปกครองกลางต้องวินิจฉัย คือ คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ประเด็นนี้ ศาลพิเคราะห์ว่า
1) เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธาน กขช. ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา รวมทั้งต้อง
รับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบาย แต่ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวได้
2) ศาลได้แจกแจงให้เห็นว่า มีระดับปฏิบัติ“รับงานไปทำ” โดยที่ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อวางกรอบนโยบายในคราวการประชุม กขช. ครั้งที่ 1/2554 และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามมติของที่ประชุม จำนวน 12 คณะ แต่ละคณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้น จะมีอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นแต่ละฝ่ายต่างก็ทำงาน โดยที่ยิ่งลักษณ์มิได้เข้าไปเกี่ยวข้อง กำกับ หรือสั่งการใดๆ อีกเลย
3) อัน “ความเสียหาย” ที่เกิดจากการระบายข้าวแบบ “รัฐต่อรัฐ” หรือ G to G” นั้น ศาลบรรยายว่า
“โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานอนุกรรมการ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
(G TO G) คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยนายภูมิ สาระผล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น มีอำนาจและหน้าที่ในการอนุมัติพิจารณา จัดการ ดำเนินการและตรวจสอบและคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการเจรจาการซื้อขายข้าวตามโครงการรับจำนำของรัฐบาล และเห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นำผลการเจรจาต่อรองสุดท้ายเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวพิจารณาให้ความเห็นชอบ และมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายในนามของรัฐบาลไทย
ยิ่งลักษณ์มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไประดับมหภาคของโครงการรับจำนำข้าว มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ไม่อาจที่จะรับรู้รับทราบข้อมูล การปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบัติ อีกทั้งยิ่งลักษณ์มิได้เป็นผู้ปฏิบัติในฐานะเจ้าหน้าที่ดำเนินการต่างๆ ในการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐและมิได้เป็นคณะอนุกรรมการตามที่ กขช. แต่งตั้งแต่อย่างใด
4) สรุปง่ายๆ ว่า ศาลเห็นว่ายิ่งลักษณ์มิได้ลงไปกำกับหรือเกี่ยวข้องในขั้นตอนปฏิบัติเลย ความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงเกิดจาก “ระดับปฏิบัติ” มิใช่ระดับ “กำกับดูแล
นโยบายโดยทั่วไประดับมหภาค” คือนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งลักษณ์เป็น แถมเมื่อมีการกระทำการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว ยิ่งลักษณ์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีการประชุมคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการอื่นๆ อีกหลายครั้ง มีการใช้มาตรการทางอาญากับผู้ทุจริตหรือผู้กระทำผิด ควบคู่กับการใช้มาตรการทางปกครองตัดสิทธิผู้สวมสิทธิเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว จึงถือได้ว่ายิ่งลักษณ์มิได้เพิกเฉยละเลย แต่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยและพฤติการณ์ เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายแล้ว
5) ส่วนกรณีที่ สตง. มีหนังสือแจ้งยิ่งลักษณ์ จำนวน 3 ฉบับ เป็นเพียงข้อเสนอแนะนำให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป และส่งมาหลังยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาไปแล้ว
6) ส่วนหนังสืออีกฉบับที่เป็นของ ป.ป.ช.นั้น ส่งมาให้ยิ่งลักษณ์ล่วงหน้าก่อนที่จะเปิดโครงการรับจำนำข้าวสองวัน เป็นการเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งมีลักษณะเป็นเพียงคำแนะนำ
7) เมื่อยิ่งลักษณ์ได้รับหนังสือแจ้งจาก สตง. และสำนักงาน ป.ป.ช. ก็ได้สั่งการตามอำนาจหน้าที่โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาป้องกันดูแลการทุจริตตามอำนาจหน้าที่แล้ว ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลเชิงนโยบาย มีข้อราชการที่ต้องบริหารกำกับดูแลมากมาย มิจำต้องถึงขนาดที่ ต้องติดตามหนังสือสั่งการทุกฉบับ และตรวจสอบการปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานทุกหน่วยงานดังกล่าวด้วยตนเองทุกกรณี อีกทั้งหนังสือ สตง. และสำนักงาน ป.ป.ช. มิใช่เป็นคำสั่งทางปกครองที่ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ยิ่งลักษณ์ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ
8) อีกทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏในคำให้การของกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า“...แต่โดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า ยิ่งลักษณ์เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด...” จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กระทรวงการคลังยอมรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดในการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่ายิ่งลักษณ์ ว่าเป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหาย หรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด
9) การกำหนดสัดส่วนให้ยิ่งลักษณ์รับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน35,717,273,028.23 บาท จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่ยิ่งลักษณ์ ประกอบกับการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวมีการดำเนินการในรูปแบบของกรรมการ ซึ่งจะต้องอาศัยมติที่ประชุมเสียงข้างมาก แม้ยิ่งลักษณ์จะอยู่ในฐานะประธาน แต่ก็มิอาจมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ ยับยั้ง อนุมัติ เห็นชอบ หรือดำเนินการใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของตนได้
10) ส่วนการอ้างถึง การตั้งกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยื่นญัตติต่อคณะรัฐสภา เรื่อง ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวเกี่ยวกับการที่เกษตรกรถูกโกงความชื้น กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ว่า การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐมีการทุจริตเกิดขึ้น มาประกอบการให้เหตุผลในคำสั่งให้ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้เงินค่าเสียหายนั้น การตั้งกระทู้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี การลงมติไม่ไว้วางใจ เป็นกระบวนการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เป็นการคานอำนาจของฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ อันเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านในรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งนายบุญทรง เตริยาภิรมย์(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ตอบกระทู้ สรุปความได้ว่า “...ได้มีการอนุมัติให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด 10 จังหวัด และในโครงการนี้ ที่ผ่านมา ดีเอสไอ (DSI) ก็รับเรื่องของโครงการทุจริตที่จังหวัดกาญจนบุรี ไปเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว...” จึงฟังไม่ได้ว่ายิ่งลักษณ์จงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ
ซึ่งน่าสนใจว่า คำพิพากษาในคดีอาญา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุตอนหนึ่งว่า “...ในส่วนความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว โดยการแอบอ้างทำสัญญาขายแบบรัฐต่อรัฐข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า จำเลยรับรู้การแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง, การตั้งกระทู้ถามสด,กระทู้ทั่วไป, การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน
ยิ่งกว่านี้ ก่อนเริ่มโครงการรับจำนำข้าว ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำเอานโยบายรับจำนำข้าวไปดำเนินการปฏิบัตินั้น จะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ให้จำเลยทราบเป็นระยะๆ
แต่จำเลยกลับไม่ได้ติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากจำเลยในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุม กขช. เพียงการประชุมครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนการประชุมอีก 22 ครั้ง ไม่ได้เข้าประชุม
โดยเฉพาะขั้นตอนการระบายข้าวนั้น จำเลยในฐานะประธาน กขช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ พ.ต.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ รมว.พาณิชย์ และดำรงตำแหน่งเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ในเวลาต่อมา ซึ่งภายหลังพ.ต.วีระวุฒิ ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี และหลบหนีในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว
และยังเป็นอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว, อนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการตลาด, อนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำข้าว รวมทั้งอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งให้ พ.ต.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง เป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ดังกล่าว ล้วนให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวทั้งสิ้น
นอกจากนี้ หลังจากที่นายวรงค์ เดชกิจวิกรม อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการทุจริตการระบายข้าว ปรากฏว่ายังมีการส่งมอบข้าวตามสัญญาขายข้าวถึง 4 สัญญา ทั้งที่ยังมีระยะเวลาเพียงพอที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่นายวรงค์ อภิปราย และจำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อน
แต่จำเลยในฐานะนายกฯและประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจในการระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว กลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดยแจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายบุญทรงกับพวก แสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว
โดยการแอบอ้างนำบริษัท GSSG และบริษัท Hainan grain เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริต ได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศและเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง ถือได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที
ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง และประเทศชาติ เป็นความผิดตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พิพากษาจำคุก 5 ปี”
ในประเด็นว่ายิ่งลักษณ์ผิดหรือไม่ผิดนี้ เธอผิดแล้วในทางอาญา แต่ในทางแพ่ง ที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เธอเป็น“ผู้ทำให้เกิดความเสียหาย” และ “ต้องชดใช้” ด้วยหรือเปล่า รอคำพิพากษาของ “ศาลปกครองสูงสุด” ต่อไป เพราะเชื่อแน่ว่าภายใน 30 วัน รัฐบาลต้องยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลปกครองกลางเป็นแน่แท้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี