กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดโควิด
กรณีพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ติดโควิด
ทั้งสองคน ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง จำเป็นต้องทำตนเป็นแบบอย่าง
1. การติดเชื้อโควิดไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องชั่วร้าย ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ไม่สมควรจะถูกประณามเลย
เป็นคนป่วย ไม่ใช่อาชญากร
2. ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าคลับหรูย่านทองหล่อ ซึ่งเป็นคลัสเตอร์แพร่ระบาดรอบนี้ ได้มีชายหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เข้าไปท่องราตรี มีข่าวว่ามีนักการเมืองไปเที่ยวด้วย
3. นายศักดิ์สยามยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ไปเที่ยวคลับแน่นอน แต่ติดเชื้อจากทีมงานกระทรวงคมนาคม
แต่ล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ข้อสงสัยกันว่าอาจมีนักการเมืองบางรายแอบไปเที่ยวในแหล่งอโคจรดังกล่าวด้วย ไม่เช่นนั้น จะติดเชื้อมาได้อย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ เป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรการของ ศบค.หรือของรัฐบาล อีกทั้ง หากพบว่ามีรัฐมนตรีคนใด มีส่วนในการติดเชื้อและแพร่เชื้อในแหล่งอโคจรดังกล่าว อาจเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมฯ 2561 ข้อ 7 ข้อ 9 ข้อ 12 และข้อ 17 ประกอบข้อ 27 เพราะรัฐมนตรีต้องประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง นั่นเอง ด้วยเหตุดังกล่าว เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นกับคณะรัฐมนตรีของท่าน โดยการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อตรวจสอบรัฐมนตรีทุกคนที่ติดเชื้อโควิด-19 ดังกล่าวว่าแอบไปเที่ยวและติดเชื้อมาจากแหล่งอโคจรดังกล่าวหรือไม่เพื่อความโปร่งใสของรัฐบาล
4. เมื่อใครก็ตามเป็นผู้ป่วย ก็จะต้องทำตามกฎหมาย
จะต้องให้ข้อมูลความจริงแก่เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค ไทม์ไลน์เป็นอย่างไร
จะโกหก หรือปกปิดข้อมูลมิได้
5. ก่อนหน้านี้ เคยมีกรณีผู้ป่วยโควิดปกปิดข้อมูลในไทม์ไลน์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เชื่อมโยงกับงานฉลองวันเกิดของดีเจดัง กรมควบคุมโรคได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เรื่อง ขอให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย ลงวันที่ 27 มกราคม 2564 เนื่องจากพบว่ามีบุคคลอื่นซึ่งมีประวัติใกล้ชิดกับดีเจดังติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก โดยจากข้อมูลการเดินทางของบุคคลดังกล่าวและบุคคลที่เกี่ยวข้องมีการให้ข้อมูลบางประการที่ไม่สอดคล้องกัน รวมถึงมีการปฏิเสธหรือปกปิดข้อมูลบางส่วนต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจทำให้โรคโควิด-19 แพร่ระบาดไปในวงกว้างและทำให้การป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ล่าช้าและไม่ทันการณ์ได้
“...จากกรณีดังกล่าว กรมควบคุมโรค ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.กรณีที่บุคคลให้ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน หรือมีการปฏิเสธหรือปกปิดข้อมูลซึ่งควรต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ อาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท รวมถึงอาจมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตามมาตรา 137 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และ 2.กรณีสถานที่ซึ่งใช้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนการห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคและไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนด รวมถึงกรณีบุคคลที่ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ดังกล่าว อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนการห้ามทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัด ซึ่งเป็นมาตรการตามข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 1/2564 ลงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2564 โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดจำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันและควบคุมมิให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ซึ่งผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548....”
6. หากผู้ติดเชื้อจงใจปกปิดข้อมูลการเดินทาง หรือแจ้งข้อมูลเท็จ ต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนและควบคุมโรค เป็นผลให้เชื้อโรคแพร่ออกไป ย่อมสร้างความเสียหายต่อส่วนรวมอย่างยิ่ง
ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นข้าราชการ หรือข้าราชการการเมืองระดับสูง ยิ่งจะต้องทำตนเป็นแบบอย่าง ในการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง หากจงใจปกปิด หรือฝ่าฝืน อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมนักการเมืองด้วย
7. เชื่อว่า ทั้งสองคนข้างต้นนั้น ไม่มีเหตุอันใดจะต้องปกปิด
ไม่มีความลับทางราชการอันใดจะต้องปกปิด
การเปิดเผย มิได้เปิดเผยเนื้อหาสาระว่าคุยเรื่องอะไร เจรจาเรื่องอะไร
8. หากปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับสูง เดินทางไปเที่ยวคลับในยามโควิด จนกระทั่งพาตัวเองไปติดโควิด ก็จะต้องดำเนินการลงโทษทางวินัย หรือทางการเมืองตามสมควรต่อไปด้วย
บางประเทศ ถึงกับจะต้องลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองก็มีให้เห็น
หากมิได้เดินทางไป ก็จะได้ให้ข้อเท็จจริงที่เปิดเผยออกมานั่นเอง เป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี