มีคำถามว่า ทุกวันนี้คุณรับรู้ข่าวสารเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หรือข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 โดยผ่านสื่อมวลชนชนิดใด ระหว่างสื่อมวลชนกระแสหลัก กับสื่อฯ จำพวก social media ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ว่ามีตัวจริง หรือเป็นพวกอวตาร หรือจำพวกไร้ตัวไร้ตน แต่พยายามกระจายข่าวมั่ว ข่าวลวง ข่าวเท็จได้ตลอดเวลา
แต่บางคนอาจจะบอกว่ารับข่าวสารข้อมูลเรื่องโควิด-19 จากคนที่เป็นคุณหมอ (นายแพทย์) โดยเฉพาะหมอจำพวกที่ช่างปั้นเรื่องผ่าน social media เป็นประจำเกือบทุกวัน โดยทุกครั้งที่ปั้นเรื่องขึ้นมาก็ล้วนแล้วแต่จงใจก่อให้เกิดกระแสความตื่นตระหนกในหมู่ผู้รับสาร (โดยเฉพาะผู้รับสารที่ปราศจากสติปัญญากลั่นกรองข้อมูล) มากกว่าการตั้งใจให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อเตือนสติให้ประชาชนเกิดการตระหนักรู้ และระมัดระวังตัว เพื่อให้รอดพ้นจากโรคร้ายโดยแท้จริง
แต่ไม่ว่าคุณจะรับข้อมูลหรือเรื่องราวเกี่ยวกับโควิด-19 จากที่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่คุณต้องมีอยู่กับตัวตลอดเวลาคือ “สติและปัญญา”
หากคุณรับสารโดยปราศจากสติและปัญญาแล้ว คุณก็คือคนที่น่าสมเพช และน่าสงสารเป็นที่สุด แล้วยิ่งน่าสมเพชหนักเข้าไปใหญ่ หากคุณรับสารโดยปราศจากสติและปราศจากปัญญา แต่แล้วคุณก็ยังอุตส่าห์ดันทุรังส่งต่อข้อความนั้นต่อๆๆๆ ไป โดยผ่านช่องทางการสื่อสารทุกชนิดที่คุณมีอยู่ในมือ หรือพูดง่ายๆ คือคนที่หลับหูหลับตาส่งเรื่องราวที่ตนได้รับใน Line หรือใน FaceBook ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน ไม่ได้พิจารณามันให้ถี่ถ้วนถึงแก่นเสียก่อน น่าอัศจรรย์ใจยิ่งที่บางคนได้รับข้อความยาวตั้งหลายหน้า แต่ยังไม่ได้อ่านให้จบสิ้น แต่ทว่ากลับทุรนทุรายรีบร้อนส่งข้อความนั้นโดยทันที
ขอถามว่า คุณอ่านข้อความเหล่านั้นดีแล้วหรือ แล้วเหตุใดจึงต้องรีบส่งมันไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่านให้จบ หรือเกรงว่าการไม่ผลีผลามส่งข้อความที่ตนเองยังไม่ได้อ่านให้เข้าใจคือการเสียหน้า เสียชาติตระกูล อย่างไรก็ตาม ขอย้ำ ณ ตรงนี้ว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้า แต่มันคือการบ่งบอกว่าคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นเสียจริต และเสียสติ และปราศจากปัญญา
บางคนรีบร้อนทุรนทุราย forward เสียงของใครก็ไม่รู้ไปยังคนต่างๆ นานาที่อยู่ในกลุ่ม Line สารพัดกลุ่มที่ตนเข้าไปร่วมอยู่ด้วย โดยบอกว่าเสียงพูดนั้น กล่าวถึงเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในขั้นวิกฤติสุดๆ โดยอ้างว่านั่นคือเสียงของคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แถมยังอ้างอีกว่ารีบกระจายส่งด้วยความหวังดี
ขอถามจริงๆ เถอะพ่อคุณแม่คุณ มันจะหวังดีตรงไหนมิทราบ เพราะในเมื่อคุณก็ไม่ใช่คนที่ได้รับข้อมูลโดยตรง(first hand information) จากคนที่คุณอ้างว่าเขาคือคณบดี คณะแพทย์ฯ แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าคือคุณไม่สามารถตอบได้ด้วยซ้ำไปว่า ต้นตอของเสียงที่คุณอ้างว่าเป็นคณบดีรายนั้นมันมาจากไหน ในเมื่อคุณไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวและของเสียงนั้น ขอถามอีกทีว่า แล้วคุณจะต้องทุรนทุรายรีบส่งต่อไปๆๆๆ เพื่ออะไรมิทราบ หรือเกรงว่าหากไม่รีบร้อนส่งต่อ ส่งต่อ และส่งต่อไปเรื่อยๆ แล้ว คนจะเข้าใจว่าคุณไม่ใช่คนแสนรู้
นับเป็นเรื่องน่าประหลาดจนเกินบรรยายที่ยุคนี้ เดี๋ยวนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างกระเหี้ยนกระหือรือส่งต่อเรื่องราวที่ตนเองไม่รู้จริงกันอย่างบ้าคลั่ง ขอถามอีกครั้งเถอะครับ ว่าทำไปเพื่ออะไร ขอถามคนที่มีพฤติกรรมประหลาดเช่นนี้ และโปรดกรุณาช่วยตอบคำถามนี้ด้วยเถอะนะครับ อยากทราบจริงๆ ว่าทำไปเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่ยิ่งทำก็ยิ่งแสดงความไร้สติ สิ้นปัญญา ซึ่งเท่ากับจงใจประจานตัวเองให้สังคมรับรู้ว่า คนที่ทำเช่นนั้น ทำไปเพราะปราศจากปัญญา
ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าก็คือ มีข้อความจากคนที่บอกว่าตนเองคือหมอ (นายแพทย์) โดยอ้างว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทย ไม่ว่าจะระลอกไหนก็ตาม หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จะทำให้คนติดเชื้อนี้หลายหมื่นคน และจะมีคนเสียชีวิตตามมาจำนวนมาก
หากอ่านข้อความนี้โดยผิวเผินแล้วอาจจะนึกว่าไม่มีอะไรผิดวิสัยของการเป็นหมอ ขอย้ำให้กลับไปอ่านอีกครั้งนะครับ แล้วคุณน่าจะพบว่ามีความผิดสังเกต
คุณเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า การบอกว่า หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จะทำให้มีผู้ติดเชื้อโรคนี้หลายหมื่นคน ซึ่งการพูดแบบนี้ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นหมอเลยครับ แมวที่ไหนก็อ้างได้เช่นนี้แหละครับ “ถ้าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จะทำให้คนติดเชื้อหลายหมื่นคน” ก็แหงละสิครับ ถ้าควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้ ก็ต้องมีคนติดเชื้อมากมาย จะหลายหมื่นหรือหลายแสน หรือหลายล้านก็ย่อมได้ทั้งสิ้น แต่คนเป็นหมอที่มีความหวังดีกับสังคมต้องไม่พูดเพื่อให้สังคมเกิดความแตกตื่น เพื่อทำให้คนที่ประสาทหลุด หรือขวัญอ่อน ต้องกลายเป็นโรคประสาทขั้นที่หนักมากไปกว่าเดิม เพราะคำพูดจากปากของหมอที่ไม่มีความรับผิดชอบ
หมอที่ดีต้องพูดเพื่อเตือนสติของประชาชนให้เกิดความตระหนักรู้และระมัดระวังป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคร้าย มิใช่พูดเพื่อให้คนเป็นโรคประสาทหนักไปกว่าเดิม และมิใช่พูดเพื่อให้เกิดความหวาดวิตกจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมา
ฉันใด ก็ฉันนั้น รัฐบาลที่หวังดีกับประชาชน ก็จำเป็นต้องให้ข้อมูลที่แท้จริง ทันการณ์ ทันสมัย เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ในปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อจะได้รับมือกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ไม่ใช่ดีแต่ปั่นเรื่องเท็จ หรือกล่าวคำหวานหูหลอกลวงประชาชนไปวันๆ เพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่บนเก้าอี้แห่งอำนาจรัฐได้ต่อไป โดยไม่นำพาว่าบ้านเมืองและประชาชนจะเดือดร้อนแสนสาหัสสักเพียงใด หากรัฐบาลให้ข้อมูลที่เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์กับประชาชน ประชาชนจะตัดสินใจได้เองว่าจะเลือกหนทางใดเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป แล้วจะช่วยสกัดยับยั้งข่าวลือ ข่าวเท็จทั้งหลายได้โดยฉับพลัน
ทุกวันนี้ เราได้รับรู้ตัวเลขคนติดเชื้อโควิด-19 และตัวเลขคนที่กำลังรักษาตัวเพราะโรคนี้ และคนที่หายจากโรคนี้ รวมถึงคนตายเพราะโรคนี้ จากศบค. (ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข่าวลวง ข่าวเท็จเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 แพร่กระจายตลอดเวลา ซึ่งการจะหวังให้รัฐบาลไทยกำจัดให้ข่าวลือหมดไปจากประเทศไทย คงไม่สามารถหวังได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้คือ การสร้างเกราะกำบังทางความคิดหรือการสร้างความตระหนักรู้ เมื่อเราเสพข่าวสารหรือข้อมูลใดๆ ก็ตาม คือทุกคนต้องมี medialiteracy หรือการรู้เท่าทันสื่อฯ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวเท็จ และช่วยให้เราไม่ตกเป็นเครื่องมือของกระบวนการสร้างข่าวเท็จ และที่สำคัญคือไม่ทำให้คนที่เสพข่าวโดยปราศจากสติต้องกลายเป็นโรคประสาท เกิดอาการจิตตก หวาดผวากับสิ่งที่ไม่ควรจะต้องวิตกกังวล
ผู้เขียนไม่มีตัวเลขว่าทุกวันนี้คนไทยมีอาการโรคประสาท เพราะเสพข่าวลวง ข่าวเท็จ มากน้อยเพียงใด เพราะยังไม่มีการระบุตัวเลขชัดเจนอย่างเป็นทางการ แต่เท่าที่ได้สัมผัสจากสถานการณ์จริงจากสังคมรอบๆ ตัว ก็พบได้ว่า มีหลายคนเกิดอาการประสาทผวา ประสาทหลอนตื่นตระหนก เพราะเสพข่าวเท็จเรื่องโควิด-19 หลายคนเอาแต่ส่งเรื่องราวที่แสนจะไร้สาระผ่าน Line กลุ่ม โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 บางคนอ้างกราฟ อ้างสถิติ อ้างตัวเลข อ้างผลวิจัย อ้างคำพูด สารพัดจะอ้าง แต่เมื่อถามกลับไปว่า สิ่งที่ส่งต่อๆ ไปนั้น มีหลักฐานยืนยันได้หรือ หรือได้รับข้อมูลโดยตรงจากใคร กรุณาระบุตัวตนคนพูดด้วย จะได้ไปทำข่าวเชิงลึกให้ได้รับทราบกับต่อไป ก็จะได้รับคำตอบที่แสนน่าสมเพชว่า ไม่รู้ เพราะได้ข้อมูลนี้มาจาก Line หรือจาก FaceBook ครั้นเมื่อถามต่อไปว่าแล้วถามไปยังไลน์หรือเฟซบุ๊คที่ได้รับหรือไม่ว่าได้ต้นตอมาจากไหน มีตัวตนคนพูดหรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมคือ ไม่รู้
ก็ในเมื่อไม่รู้ ไม่ทราบ แล้วจะส่งต่อไปเพื่ออะไร การส่งต่อในสิ่งที่เราเองไม่รู้ และไม่ทราบ เป็นการกระจายข่าวที่หาแหล่งที่มาไม่ได้ เป็นการส่งเพื่อสร้างความตื่นตระหนกในสังคมมากกว่าเพื่อเตือนสติ สรุปว่าคนที่ตั้งหน้าตั้งตาส่งข่าวที่ตนเองไม่รู้ที่มาที่ไป เป็นคนปกติ หรือมีอาการป่วยเป็นโรคจิตกันแน่ ใครมีคำตอบเรื่องนี้ กรุณาชี้แจงให้ทราบด้วย จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี