ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 13 เม.ย. 2564 ประเทศไทยเราฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 6 แสนโดส
น้อยกว่าหลายประเทศ
ขณะนี้ ในหลายประเทศที่ฉีดวัคซีนจำนวนโดสมากกว่าไทย ก็มีการแพร่ระบาดของโควิด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวัน แต่ละวัน สูงกว่าไทยลิบลับ
แต่เรื่องวัคซีนถูกฝ่ายการเมืองหยิบยกมาโจมตี เพื่อหวังกระทบชิ่งไปถึงบางสถาบันที่พวกเขาต้องการบ่อนทำลาย หรือดิสเครดิต
1. วัคซีนซิโนแวคที่ได้มาอีก 1,000,000 โดสในเดือนนี้ เป้าหมายเพื่อควบคุมการระบาดในพื้นที่สีแดง และกระจายให้กลุ่มเป้าหมายใน 77 จังหวัด ประกอบด้วย
9 จังหวัดขนาดใหญ่พิเศษ ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และนครศรีธรรมราช
13 จังหวัดขนาดใหญ่ ประกอบด้วย เชียงราย นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ร้อยเอ็ด สกลนคร สุรินทร์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุราษฎร์ธานี และสงขลา
และ 56 จังหวัดขนาดเล็ก อาทิ แม่ฮ่องสอน ลำพูน นครนายก ลพบุรี เลย บึงกาฬ เป็นต้น
แบ่งเป็น สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า จำนวน 599,800 โดส
ควบคุมโรคระบาด พื้นที่สีแดง 100,000 โดส
ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 147,200 โดส
ตำรวจ/ทหาร ด่านหน้า จำนวน 54,320 โดส
รวมทั้งสำรองไว้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน 98,680 โดส
จนถึง 13 เมษายน 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว 579,305 โดส เป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรก จำนวน 505,744 ราย และผู้ได้รับวัคซีนเข็มสอง จำนวน 73,561 ราย
2. ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ถูกฝ่ายค้านพยายามดิสเคดิต
แต่ปรากฏว่า สส.ฝ่ายค้านก็แห่จะไปฉีดวัคซีนตั้งแต่วันแรก
นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติยืนยันถึงประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ว่า วัคซีนโควิด-19ที่ประเทศไทยใช้ ทั้งของซิโนแวคและแอสตราเซเนกา ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง
วัคซีนของซิโนแวค ที่มีข้อมูลว่ามีประสิทธิภาพป้องกันเพียงร้อยละ 50.7 นั้น ขอชี้แจงว่าเป็นข้อมูลการวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ซึ่งดำเนินการในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศบราซิลที่กำลังมีการระบาดอย่างมาก ถือเป็นวัคซีนตัวเดียวที่ศึกษาวิจัยในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม แม้จะป้องกันอาการไม่รุนแรงจนถึงรุนแรงได้ร้อยละ 50.7 แต่ถือว่าผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำขององค์การอนามัยโลก ขณะที่ป้องกันติดเชื้ออาการปานกลางจนถึงรุนแรงได้ถึงร้อยละ 83.7 และป้องกันการติดเชื้ออาการรุนแรงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีประสิทธิภาพดีจึงขอให้ประชาชนมั่นใจ
“เราไม่สามารถจะนำตัวเลขประสิทธิผลของวัคซีนมาเปรียบเทียบโดยตรงได้ ต้องพิจารณาข้อมูลอื่นประกอบด้วย เช่นศึกษาในกลุ่มประชากรใด อย่างบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจำนวนมาก หรือศึกษาในพื้นที่ใด หากเป็นพื้นที่ระบาดก็มีโอกาสติดเชื้อมาก ผลการศึกษาจึงนำมาเทียบกับการศึกษาในชุมชนทั่วไปไม่ได้” นายแพทย์นครกล่าว
วัคซีนของแอสตราเซเนกา ซึ่งเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย จำนวน 61 ล้านโดส มีข้อมูลตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 ว่า มีประสิทธิภาพป้องกันต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.7 หรือสายพันธุ์อังกฤษได้ร้อยละ 70.4 ส่วนไวรัสที่ยังไม่มีการกลายพันธุ์ป้องกันได้ร้อยละ 81.5 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการควบคุมโรคให้รวดเร็ว
“การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากที่สุด เร็วที่สุด จะช่วยหยุดสถานการณ์การระบาด ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อวัคซีนและมารับวัคซีนที่โรงพยาบาลตามที่นัดหมาย วัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มาถึงแขนเร็วที่สุด ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พิจารณาทบทวนความปลอดภัยแล้ว วัคซีนที่ไทยใช้เป็นวัคซีนที่ดีใช้การได้ เมื่อฉีดจำนวนมากจะยุติสถานการณ์การระบาดของโรคพร้อมกันโดยเร็ว ประเทศจะได้เปิด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมต่อไป” นายแพทย์นครกล่าว
3. สำหรับข้อมูลที่นำมาบิดเบือนว่าวัคซีนได้ผลแค่ 50% นั้น จริงๆ คืออย่างไร?
จริงๆ แล้ว คือ วัคซีนนี้สามารถ “ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตได้ 100%”
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ได้มีการรายงานผลการประเมินประสิทธิภาพทางคลินิก ระยะที่ 3 ของวัคซีนซิโนแวค จากประเทศบราซิล พบว่าวัคซีนสามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% สามารถป้องกันการป่วยได้ 83.7% และป้องกันการติดเชื้อได้ 50.7% และมีความปลอดภัยสูงมาก
ข้อมูลนี้ถือเป็นรายงานอย่างเป็นทางการแบบสมบูรณ์เป็นครั้งแรกซึ่งเตรียมจะตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยทำการทดสอบในบุคลากรทางการแพทย์ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อสูงมากจำนวนกว่า 10,000 คน และได้ติดตามผลจนสิ้นสุดระยะเวลาการประเมินข้อมูล ได้ผลที่สำคัญและชัดเจน คือ กลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่มีรายใดเลยที่มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต
ในส่วนรายละเอียดของการประเมินประสิทธิภาพนี้ มีบุคลากรการแพทย์เข้าร่วม 12,396 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริงและกลุ่มได้รับวัคซีนหลอก(กลุ่มเปรียบเทียบ)อย่างละครึ่ง ฉีดวัคซีนคนละ 2 โดส ห่างกัน 14 วัน และติดตามผลของวัคซีนเป็นเวลาหลายเดือน สามารถติดตามนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผลได้ 9,823 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีน 4,953 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ 4,870 ราย พบว่าในกลุ่มเปรียบเทียบที่ไม่ได้รับวัคซีน ติดเชื้อโควิดจำนวน 168 ราย โดยมีระดับความรุนแรงในระดับ 3 ขึ้นไป (อาการปานกลาง) 30 รายความรุนแรงระดับ 4 ขึ้นไป 10 ราย และระดับ 5 (อาการหนักมาก)6 ราย ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ติดเชื้อโควิดจำนวน85 ราย โดยมีความรุนแรงระดับ 3 เพียง 5 ราย และไม่มีรายใดเลยที่มีความรุนแรงในระดับ 4 หรือระดับ 5
สรุปได้ว่า วัคซีนนี้สามารถ “ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตได้ 100%” ป้องกันการเจ็บป่วยชนิดปานกลาง (ระดับ 3 ขึ้นไป) ได้ 83.7% และ “ป้องกันการติดเชื้อได้ 50.7%”
ในเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีนนั้น คล้ายกับวัคซีนอื่นๆ ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยและไม่รุนแรง
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเบื้องต้นในประเด็นอื่นอีกด้วยว่า วัคซีนจะเริ่มมีผลป้องกันโรคได้ 2 สัปดาห์หลังฉีดเข็มแรก รวมทั้งการเพิ่มระยะห่างระหว่างเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สองจากที่กำหนดไว้ 2 สัปดาห์ เพิ่มเป็นประมาณ 4 สัปดาห์ อาจจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากขึ้นอีก และการให้วัคซีนในคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี (ซึ่งในการทดสอบนี้ยังมีจำนวนไม่มากนัก) ให้ผลในการป้องกันโรคใกล้เคียงกับในคนอายุ 18-60 ปี
4. จะเห็นได้ว่า เรื่องวัคซีนถูกโจมตีหนัก เพราะเป็นจุดอ่อนตรงที่เป็นของพัฒนาขึ้นใหม่
แต่ที่สำคัญ คือ พยายามจะกระทบชิ่งไปถึงสถาบันที่พวกเขาจ้องถล่ม
เป็นความพยายามสร้างความวุ่นวายซ้ำซาก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี