ระหว่างหยุดยาวๆ ช่วงสงกรานต์ และเก็บตัวอยู่กับบ้านผมสนุกกับการส่อง “วิธีคิด” และ “ทัศนคติ” ของผู้คนต่อการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดอีกครั้งของโควิด-19 ในประเทศไทย ทัศนคติที่ผมชอบมากๆ คือของคุณ Paul McIntosh
1) Paul McIntosh โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...ถ้าคิดว่าล็อคดาวน์แล้วดีกว่า ... ก็ล็อคตัวเอง ถ้าคิดว่าเคอร์ฟิวส์เเล้วเวิร์ค... สี่ทุ่มก็อย่าออกไปไหน ไม่มีใครบังคับให้ต้องปลอดภัยจากความเสี่ยง ก็ทำตามความสมัครใจตน
คนที่จำเป็นจะต้องออกข้างนอกเพื่อปากท้อง ก็ดูแลตัวเอง ใส่หน้ากาก ล้างมือ โซเชียลดิสแทนส์
ต่อให้ผมไม่แน่ใจ... ว่ากัปตันเรือลำนี้จะบังคับเรือได้รอดหรือไม่... ผมก็จะไม่นั่งเจาะเรือตัวเองให้น้ำเข้าเร็วขึ้น... แล้วร้องโวยวายเหมือนคนไร้สติว่า... เราจะไม่รอด แต่ผมจะนั่งนิ่งๆ แล้วกอดชูชีพไว้ตัวนึง”
ช่างเป็นพลเมืองที่น่ารักเสียจริงๆ เป็นทัศนคติที่เป็นบวกในสถานการณ์นี้เอามากๆ
ในเวลาที่ทำอะไรไม่ได้เลย อย่าบ่อนทำลาย หันมารับผิดชอบในส่วนของตัวเองกันดีกว่า-นั่นคือความหมายของเขา
2) ส่วนคนประเภท “รักแหละ...ดูออก” อย่าง ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์เฟซบุ๊คว่า...
มีคนบางคนหวังว่าจะได้ยินรัฐบาลประกาศให้มี curfew และ lock down เพื่อจะได้ด่ารัฐบาลได้ว่า คนจะเดือดร้อน จะอดตาย รัฐบาลตัดสินใจผิด บริหารวิกฤติ โดยไม่คิดถึงความเดือดร้อนของประชาชน
แต่พอรัฐบาลย้ำแล้วย้ำอีกว่า ไม่มี curfew ไม่มี lock down ก็เลยผิดหวัง เพราะรัฐบาลตัดสินใจ balance ระหว่างการจัดการโควิด กับการประคองเศรษฐกิจถูกใจคนส่วนใหญ่ของประเทศ เลยออกมาด่าว่าแถลงทำไมหาว่าไม่เห็นมีอะไรเลย ทั้งๆที่มีตั้งหลายประเด็นที่เราได้รู้ให้เกิดความมั่นใจ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แทนการคาดเดาคงผิดหวังไม่ได้ประเด็นด่ารัฐบาล
ที่ว่ามานี้มีทั้งสื่อหลักบางรายที่ชอบด่ารัฐบาลฝ่ายค้านบางคนที่ด่าได้ทุกเรื่อง นักวิชาการที่เป็นปรปักษ์กับรัฐบาล และนักเลงคีย์บอร์ดที่นิยมดราม่า
ยิ่งนายกมี key sentences หลายประโยคที่อาจจะกินใจคนหลายคน เช่น ท่านบอกว่าเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องออกมาตรการที่ทำให้คนเดือดร้อน ท่านบอกว่าจะทำอะไรท่านรู้ดีว่าจะต้องมีคนที่จะต้องเดือดร้อน แต่มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านจึงรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดท่านบอกว่าสำหรับคนที่ไม่รับผิดชอบ ไปยังที่อโคจรและมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ท่านและเจ้าหน้าที่ไม่อาจไปตามดูได้ทุกที่ทุกแห่ง (มันเป็นเรื่องจิตสำนึก)
ท่านขอร้องให้ประชาชนร่วมมือเพื่อให้เราผ่านพ้นวิกฤตินี้ได้ ท่านพูดว่าประเทศไทยต้องชนะ คนไทยต้องชนะท่านให้ความมั่นใจกับเราว่าท่านจะทำเต็มที่ เพราะชีวิตนี้ท่านพร้อมแล้วที่จะทุ่มเททำงานให้กับประเทศชาติและประชาชนคนไทย มันซึ้งและกินใจนะคะ (สำหรับคนที่ไม่มีอคติเท่านั้นค่ะ)
คุณพอลเน้นการ “ทำ” ไม่ “ทำลาย” อาจารย์เสรีเน้นว่านายกฯ ท่านทำเต็มที่นะ ท่านมีใจ ตั้งใจ ที่จะดูแลสถานการณ์นี้นะ จะจ้องแต่ด่าอะไรกันนักกันหนาเล่า
3) ดียิ่งกว่า คือ กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ไม่อวย ไม่เลื่อย ไม่บ่อนทำลาย แต่บอกให้รู้ว่า “อะไรที่นายกฯ ยังไม่ได้ทำ”
โดยนายกรณ์เสนอความเห็นผ่านเฟซบุ๊ค หัวข้อ “ระลอก 3 : “ความจริงที่ต้องเร่งแก้” ระเบียบราชการกับความเป็นจริงที่ไม่สอดคล้องกัน” ความว่า...
สถานการณ์จริงตอนนี้คือ ยังมีผู้ป่วยแจ้งมาเรื่อยๆ ว่า “ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีใครแจ้งว่าจะให้เข้ารักษาได้ที่ไหน จึงกลายเป็นว่าชาวบ้านต้องดิ้นรนกันเอง เป็นภาระกับ
โรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องคอยรับสายอย่างมาก จะโทรเบอร์ของรัฐที่ให้มาก็โทรยากมาก และเมื่อโทรได้ก็ไม่มีคำตอบที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน ทั้งหมดนี้เพราะตาม “ระเบียบราชการ” ระบุว่า เมื่อพบว่าป่วย ต้องกักตัวทันที ซึ่งประชาชนหลายคนกังวลมากและต้องการจะทำให้ถูกต้อง แต่ก็มีหลายเคสที่ไม่ทำ หรือแม้แต่จะทำก็ทำไม่ได้
เราได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่รัฐ คำตอบหนึ่งที่ได้รับคือ เตียงโรงพยาบาลสนามมีเพียงพอ แต่ตอนนี้ปัญหาคือโลจิสติกส์ คือจำนวนรถพยาบาลไม่พอวิ่งรับผู้ป่วย
คำชี้แจงนี้ไม่น่าจะถูกทั้งหมด เพราะมีผู้ป่วยหลายรายที่รอมาแล้ว 4-5 วัน โดยที่ไม่มีแม้แต่การแจ้งว่าจะได้รักษาที่ไหน หรือจะมีรถพยาบาลมารับได้เมื่อไร
ผมเห็นใจเจ้าหน้าที่หน้างานมากครับ ทำงานยากมาก ซึ่งปัญหาหลักที่ผู้บริหารต้องเร่งจัดการมีสองเรื่อง 1. จำนวนเตียง และระบบขนส่งผู้ป่วย 2. ข้อมูลที่ชัดเจนที่ทุกสถานพยาบาลตรวจเช็คได้แบบ real time ว่าเตียงที่ว่างมีกี่เตียง ที่ไหนบ้าง
(เรื่องจำนวนเตียง) = หากมีผู้ป่วยเพิ่มวันละ 1,500 คน ก็ต้องมีจำนวนเตียงรองรับตามสูตรที่พอคำนวณได้ ผมเห็นว่าหลายหน่วยงานเร่งเตรียมเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ต้องเตรียมให้พอ
(เรื่องรถขนส่งผู้ป่วย) = หากรถพยาบาลไม่พอ ควรขอความร่วมมือจากมูลนิธิต่างๆ และจัดชุดป้องกันเชื้อให้พวกเขา
(เรื่องระบบการจัดการข้อมูล) = ผมยอมรับว่าแปลกใจมากที่รัฐทำไม่ได้ คิดว่าอาจจะเป็นเพราะระบบราชการแต่ละหน่วยไม่เชื่อมโยงกัน อันนี้ท่านนายกฯอาจต้องลงมากำกับเองครับ การสั่งเฉยๆ ไม่พอจริงๆ
ส่วนพวกผมขออนุญาตแจ้งข้อเท็จจริงจากภาคสนามให้ท่านและทีมงานรับทราบต่อไป ขอให้ถือว่าช่วยกันครับ ผมและพรรคกล้า เป็นกระบอกเสียงเท่าที่จะทำได้
4) สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ พลตรีเหรียญทองแน่นหนา โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...ขออนุญาตเข้าใจ รพ.มงกุฎวัฒนะในทางที่ถูกต้องด้วยครับว่า เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการจำนวนหลายราย ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะได้ดำเนินการขอส่งตัวไปยัง รพ.สนามแล้ว แต่ รพ.สนาม ยังไม่พร้อมรับตัวผู้ติดเชื้อไปยัง รพ.สนามได้ ในขณะที่ รพ.มงกุฎวัฒนะก็ไม่มีเตียงที่จะรับผู้ป่วยอีกแล้ว จึงไม่สามารถรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลายรายเข้า รพ.มงกุฎวัฒนะได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลายรายยังคงกักตัวอยู่ที่บ้าน ทำให้เกิดความกังวลและเข้าใจผิดว่า รพ.มงกุฎวัฒนะละทิ้ง ไม่รับตัวผู้ป่วย
ผมขอเรียนว่าปัญหาดังกล่าว อยู่ที่ขั้นตอนการรอคอยการรับผู้ป่วยโดย รพ.สนามครับ หากจะให้ รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับตัว ก็ไม่สามารถรับเข้า รพ.มงกุฎวัฒนะได้ เพราะไม่มีเตียงแล้ว ผมขอความกรุณา ศบค. ได้โปรดเพิ่มความสามารถของ รพ.สนามในเขตกรุงเทพมหานครในการรับผู้ติดเชื้อให้ด้วยครับ มิฉะนั้นแล้ว ผู้ติดเชื้อสะสมนอกการควบคุมของ รพ.ทั่วไป และ รพ.สนาม จะทวีเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดผลเสียต่อการควบคุมโรคครับ...”
ในเวลาต่อมา ท่านยังเสนอแนะด้วยว่า
“...การมีแค่ รพ.สนาม ระดับ 1 (Level 1), ฮอสปิเทล (Hospitel) หรือโรงแรมที่ทำหน้าที่ รพ.สนาม ระดับ 1 ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการได้จำนวนมากๆ ก็ตาม แต่จะไม่พอที่จะรับมือกับสถานการณ์อันใกล้นี้ หากสถานการณ์ผู้ป่วยจำนวนมากเพิ่มขึ้นไม่หยุด โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครหรือเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่
ผมเห็นว่าจะต้องจัดให้มี รพ.สนาม ระดับ 2-3 (Level 2-3) ในกรุงเทพมหานครหรือเมืองใหญ่หรือจังหวัดที่มีอัตราการติดเชื้อสูง ...ผมขอเน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องแห่ทำ รพ.สนาม ระดับ 2-3 (Level 2-3) กันมากๆ หรือทำกันทุกๆจังหวัดหรอกนะครับ ขอให้ดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อของแต่ละจังหวัดให้เหมาะสมครับ การเตรียม รพ.สนาม ระดับ 2-3 (Level 2-3) ในความเห็นส่วนตัวของผมมีดังนี้
1. รพ.สนาม ระดับ 2 ให้ใช้ รพ.ประจำถิ่น ซึ่งหมายถึงรพ.รัฐ หรือ รพ.เอกชน ในพื้นที่ซึ่งมีอยู่แล้ว ซึ่งในขณะนี้ถูกใช้เตียงและพื้นที่ใช้สอยไปเพื่อการควบคุมโรคสำหรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ซึ่งเป็นการเสียโอกาสอย่างมากในขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง (Moderate) จนถึงรุนแรง (Severe) ดังนั้นรพ.ประจำถิ่น ในกรุงเทพมหานครหรือเมืองใหญ่ หรือจังหวัดที่มีอัตราการติดเชื้อสูง ควรจะต้องเริ่มเคลียร์เตียงและพื้นที่ใช้สอย ด้วยการส่งต่อผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจำนวนมาก ออกไปยัง รพ.สนาม ระดับ 1 (Level 1)แล้วเตรียมพร้อมเป็น รพ.สนาม ระดับ 2 (Level 2) เพื่อรับการส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง (Moderate) จาก รพ.สนาม ระดับ 1 ได้แล้ว ดังนั้น รพ.สนาม ระดับ 1ที่เตรียมการไว้แล้วจำนวนมาก จะต้องรีบเปิดทำการรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจำนวนมากๆ จาก รพ.ประจำถิ่นได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ครับ
2.รพ.สนามระดับ 3 สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหัวใจ เพื่อรับการส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการเริ่มรุนแรง โดยรวมศูนย์ รพ.สนามระดับ 3 สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหัวใจไว้เพียงแห่งเดียว แต่สามารถเพิ่มจำนวนเตียงตามสถานการณ์
3.รพ.สนามระดับ 3 สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องทำการผ่าตัด-คลอด-หัตถการต่างๆ หากเป็นไปได้ควรกำหนดให้ รพ.ทั่วไปของรัฐสัก 1 แห่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น รพ.ที่ใหญ่มาก แต่มีขีดความสามารถทางศัลยกรรม-สูติกรรม-กุมารเวชกรรม ซึ่งสามารถสนธิกำลังกันได้ แล้วให้ รพ.ที่ถูกกำหนดนี้ ไม่ต้องรับผู้ป่วยทั่วไป แต่ให้รับการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 จาก รพ.สนาม ระดับ 1-2-3ที่ต้องรักษาทางศัลยกรรม-สูติกรรม-กุมารเวชกรรม
อย่าเพิ่งรำคาญต่อการแสดงความเห็นส่วนตัวของผมกันนะครับ สถานการณ์อันใกล้นับแต่นี้ไม่อาจประมาทได้ครับ
4) ด้าน นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ โพสต์เฟซบุ๊คว่า “โควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 แพร่กระจายได้ง่ายและเร็ว” โดยท่านให้ความรู้และข้อคิดว่า...
“...วิวัฒนาการของไวรัสเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราทราบดีว่าสายพันธุ์ที่เริ่มต้นจากประเทศจีนเป็นสายพันธุ์ S และ L, สายพันธุ์ S มาระบาดในประเทศไทย ในระยะรอบแรก, สายพันธุ์ Lไปบุกยุโรป แล้ววิวัฒนาการเป็นสายพันธุ์ V และ G, สายพันธุ์ G แพร่ระบาดได้ง่ายกว่าจึงกระจายไปทั่วโลกมาแทนที่สายพันธุ์เกือบทั้งหมด ติดง่ายกว่า
สายพันธุ์ G วิวัฒนาการต่อไป เป็น GH และ GR, สายพันธุ์ G จึงมาระบาดในประเทศไทยที่สมุทรสาครด้วยเช่นเดียวกัน (GH) การระบาดในยุโรปเป็นสายพันธุ์ GR เป็นส่วนใหญ่ และก็วิวัฒนาการต่อไป เป็นสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 หรือเรียกว่าสายพันธุ์ GRY ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนในตำแหน่งที่ 501 (N501Y) หรือเปลี่ยนจาก asparagine ไปเป็น tyrosine ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะเกาะกับเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจของมนุษย์ ได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถติดต่อได้ง่ายและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อติดต่อได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว สายพันธุ์นี้จึงระบาดอย่างกว้างขวางโดยเริ่มจากอังกฤษเข้าสู่ยุโรปและอเมริกา เข้าสู่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะมากขึ้น และเข้าสู่เขมรมาสู่ประเทศไทย และในอนาคต สายพันธุ์นี้จะครองโลก จนกว่าจะมีสายพันธุ์ที่แพร่กระจายง่ายกว่านี้อีกก็จะมาแทนที่ต่อไป
ในประเทศไทยการระบาดรอบใหม่หรือจะเรียกว่าระลอก 3 ก็ได้ เริ่มจากสถานบันเทิง และกระจายไปทั่วประเทศไทย จากการตรวจวินิจฉัยที่ศูนย์ ที่ทำอยู่ขณะนี้มากกว่า 300 ราย พบการระบาดครั้งนี้ 98% เป็นสายพันธุ์อังกฤษ เหลือเพียงไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือที่ได้รับมาจากพม่าที่สมุทรสาคร สายพันธุ์นี้ติดต่อได้ง่ายกว่าเดิม จึงได้แพร่กระจายไปมากมาย อย่างที่คิดไว้แล้วตอนต้น ไม่ได้เกินความคาดหมาย
การจะยับยั้งการกลายพันธุ์ต่อไป จะต้องหยุดการระบาดของไวรัสนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งสามารถทำได้ด้วยระเบียบวินัย การปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ที่ทุกคนรู้ และการให้วัคซีนอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้มีภูมิต้านทานในการป้องกันการติดเชื้อให้มากที่สุด
ไวรัสนี้คงอยู่กับเราอีกนาน หรือตลอดไป เราจะต้องปรับตัวให้ได้ และหาวิธีในการป้องกันให้ได้มากที่สุด เพื่อลดความรุนแรงของโรคนี้ลงให้ได้ #หมอยง
สรุป :: ในเวลาที่ “เรือ” ชื่อประเทศไทย กำลังฟันฝ่าคลื่นลมและพายุโรคระบาดชื่อ โควิด-19 คนบนเรือกระทำการกันหลายแบบ ส่วนหนึ่งพยายามทำตัวไม่เป็นภาระส่วนหนึ่งอวยกัปตัน “ลุงตู่” คงเพื่อให้ท่านมีกำลังใจแก้ไขวิกฤติ ส่วนหนึ่งเลือกเป็น “กัลยาณมิตร” บอก “ข้อบกพร่อง
“บิ๊กตู่” ไม่ได้ดีเลิศในสถานการณ์นี้ ในสายตาของใครบางคน อาจมีเรื่องบกพร่อง ย่ำแย่ แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมา “ห้ำหั่นกัน” ท่ามกลางพายุ เอาบ้านเมืองให้รอดวิกฤตินี้ โดยที่ไม่ต้องหลงลืมว่า มี “ความบกพร่องใด” ในตัวกัปตันประยุทธ์บ้างก็ได้
แล้วเมื่อฝ่าฟันพายุไปได้ คลื่นลมสงบ ก็ค่อยมาประเมิน “กัปตัน” กัน ว่าควรจะควบคุมเรือลำนี้ต่อ หรือควรจะเปลี่ยน เมื่อถึงเวลาอันควร!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี