หลายวันก่อนได้ฟัง ดร.สุเมต สุวรรณพรหม เจ้าของรายการเรื่องเล่าของป๋าเปรม FM90.5 ได้นำคำปาฐกถาพิเศษของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ที่มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ ที่กล่าวไว้เมื่อปี 2547 ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากๆ นั่นคือหัวข้อที่พลเอกเปรมพูดถึงคือ “เมืองไทยที่ข้าพเจ้าห่วงใย” ที่ทางอธิการบดีเสนอแนะให้ท่านพูด
พลเอกเปรมได้เริ่มต้นบรรยายความว่าท่านคงจะหมายถึงจะให้ผมบอกกับท่านทั้งหลายว่า ผมมีใจพะวงอยู่มีความทุกข์กังวลอยู่กับเมืองไทยอย่างไรบ้างเรื่องใดบ้าง ขอเรียนว่าผมห่วงใยเมืองไทยของผมและของท่านทั้งหลายมากหลายเรื่องอยู่ เหมือนกัน แต่จะขอพูดเฉพาะเรื่องที่ “ผมเห็นว่าสำคัญและสมควรที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง” เพื่อให้เข้าใจตรงกันท่านทั้งหลายอาจห่วงใยเมืองไทยไม่เหมือนกันและไม่เหมือนกับผม อาจจะเห็นต่างจากผมถึงความสำคัญและความสมควรของเรื่องที่จะกล่าวต่อไป
แต่ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เราห่วงเหมือนกันคือ คนไทยมีความห่วงใยชาติบ้านเมืองทุกคน ดังที่ได้เรียนแล้วว่าผมเป็นห่วงชาติบ้านเมืองของเราหลายอย่างต่อไปนี้คือเรื่องที่ผมเห็นว่าสำคัญและสมควร
น่าเป็นห่วง ขอเริ่มต้น ด้วย “ความยากจน” ในอดีตเขาเรียกประเทศเราว่าประเทศด้อยพัฒนา ปัจจุบัน เขาและเราเรียกว่าประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรความยากจนของคนไทยก็คงมีอยู่ในความเห็นส่วนตัว ของผม ความยากจนคือปัญหาสำคัญที่สุด ใหญ่ที่สุด แก้ไขยากที่สุด และมีความเร่งด่วนที่สูงสุดถ้าเราแก้ปัญหาความยากจนได้ ปัญหาอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จะลดความรุนแรงลงเป็นปัญหาที่ง่ายและแก้ไขได้ในที่สุด
ความยากจนจะก่อให้เกิดอุปสรรคและปัญหาต่างๆ มากมาย คนจนจะมีการศึกษาน้อย มีปัญหาเรื่องสุขภาพและที่อยู่อาศัยมีปัญหาเรื่องการว่างงานเพราะวุฒิการศึกษาต่ำ มีปัญหาเรื่องเลี้ยงดูดูแลครอบครัว บุตรหลานมีโอกาสน้อยกว่าคนไม่จน
ในชีวิตราชการของผมส่วนใหญ่ วนเวียนอยู่ต่างจังหวัดผมจึงได้เรียนรู้ความทุกข์ยากของชาวบ้าน ผมไม่อยากเชื่อและจะไม่เชื่อเลยว่า คนไทยจะยากจนถึงขนาดนี้ ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตนเองในช่วงเวลานั้น เขาจนจริงๆ ครับ บางครอบครัวไม่มีเงินเลย ตั้งแต่บัดนั้นผมคิดว่าผมพบปัญหาใหญ่ของชาติบ้านเมืองของเราแล้ว ผมจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยคนไทยให้จนน้อยลงด้วยวิธีต่างๆ เท่าที่ผมมีและสามารถทำได้ แม้บัดนี้ก็ยังทำอยู่และจะทำต่อไปไม่หยุด
พลเอกเปรมได้บรรยายต่อว่า “เมื่อ พ.ศ.2545 นายกรัฐมนตรีทักษิณ พูดว่า จะทำให้คนไทยหายจนภายใน 6 ปี ผมดีใจเป็นที่สุด และภาวนาขอให้ประสบความสำเร็จ คนไทยจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นอันเป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของพวกเราทุกคน”
ซึ่งต่อมารัฐบาลทักษิณได้เริ่มต้นการแก้ปัญหาความยากจนโดยทำเป็นเอกสารฉบับหนึ่งชื่อ “การต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน” เป็นเอกสารที่น่าสนใจมาก
พลเอกเปรมได้กล่าวย้ำว่าโปรด สังเกตว่า ความยากจนทำให้คนจนขาดหายหลายอย่างที่พึงได้จากรัฐอันนำไปสู่ความไม่เสมอภาค และความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นคนจนเสียเปรียบคนไม่จนและคนร่ำรวยทุกทาง
รัฐบาลได้ดำเนินการจดทะเบียน คนยากจน มีประชาชนจดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยกว่า 8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 12.8 ของประชากร ของประเทศ และคนยากจน ร้อยละ 80 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง
รัฐบาล ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนโดยกำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความยากจนโดยสรุป ดังนี้..
1.ยุทธศาสตร์พระราชทาน คือการพัฒนาน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจน
2.ยุทธศาสตร์ดำเนินการมี 5 ประการ คือแสดงความมุ่งมั่นของ
2.1 รัฐบาลที่มีปณิธานอันแน่วแน่จะแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้น
2.2 ขจัดปัญหาเร่งด่วนที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน
2.3 แก้ไขปัญหา โครงสร้าง ทางเศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย และระเบียบต่างๆ มิให้เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน
2.4 สร้างระบบคุ้มครองและประกันสังคม เพื่อส่งเสริมคนยากจน และผู้ด้อยโอกาส
2.5 พัฒนาระบบราชการในทุกระดับ ไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชนและประเทศชาติ
พลเอกเปรมกล่าวย้ำว่า ผมเคยพูดไว้หลายครั้งในหลายที่ว่า เพื่อแก้ปัญหาความยากจนเราจะต้องนำ 3 อย่างไปมอบให้กับคนยากจน คือ 1.การศึกษา 2.การมีงานทำ 3.การมีสุขภาพดี ทั้ง 3 เรื่องนี้ ยากทั้งนั้นแต่จำเป็นและสำคัญ จะต้องดำเนินการโดยด่วน
นี่คือคำปาฐกถา “เมืองไทยที่ข้าพเจ้าห่วงใย” ของป๋าเปรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี