ฉบับอังคารที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่องที่ ดร.สุเมต สุวรรณพรหม เจ้าของรายการเรื่องเล่าของป๋าเปรม FM.90.5 ได้นำคำปาฐกถาพิเศษของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ ที่กล่าวไว้เมื่อปี 2547 ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากๆ นั่นคือหัวข้อที่พลเอกเปรมพูดถึงคือ “เมืองไทยที่ข้าพเจ้าห่วงใย” ที่ทางอธิการบดีเสนอแนะให้ท่านพูด
วันนี้ขอต่ออีกนะครับ ว่าพลเอกเปรมท่านมีความห่วงใยคือปัญหาความยากจนของคนไทยและการแก้ปัญหาความยากจน โดยกล่าว ถึงเรื่องของความรัก..ที่จะใช้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจน
ผู้มีเกียรติครับการจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้บรรลุตามปรารถนา นอกจากจะต้องมีแผนงานที่ดีและเป็นไปได้สามารถนำไปปฏิบัติให้สำเร็จได้ ยังมีตัวแปรสำคัญนอกตำราอีกตัวหนึ่งคือ “ความรัก” ความรักคือความหอมหวานความปรารถนาดีต่อกัน ความห่วงอาทรซึ่งกันและกันถ้าเรารักองค์กร เราก็พร้อมที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุขให้องค์กรมีความเจริญมั่นคง เห็นได้ชัดเจนจากการที่เราทำสิ่งต่างๆ เพื่อความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ สามีภรรยา บุตรธิดา การแก้ปัญหาความยากจนก็ทำนองเดียวกัน ผู้แก้ปัญหาจะต้องรักและปราถนาดีต่อ คนยากจน ไม่รังเกียจว่า คนยากจน สกปรก เหม็นสาบ บ้านเรือนรกรุงรัง พูดจาไม่เพราะ ต้องใช้ “ใจ” ของเราเข้าร่วมทำงานด้วยเพื่อให้เกิดความสนุก และความสุข ผมขอเรียนว่าถ้าเราไม่รักคนยากจน ไม่รักงานแก้ปัญหาความยากจน ทำเพราะได้รับการมอบหมาย หากเป็นเช่นนั้นความสำเร็จจะอยู่ไกลมาก ไกลจนน่าเป็นห่วงทีเดียวครับ
มีเอกสารฉบับหนึ่งชื่อว่า “การรายงานผลตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของประเทศไทย พ.ศ.2547”เอกสารนี้เกิดจากการที่ประเทศไทยได้ให้การรับรองปฏิญญาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Dec laration)เมื่อปี 2543 ซึ่งถือเป็นพันธกิจของประชาคมโลก 198 ประเทศร่วมลงนามในปฏิญญา ในการพัฒนา คนปฏิญญาดังกล่าวเป็นที่มาของเป้าหมายการพัฒนาคนแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals-MDG)ปฏิญญานี้มีเป้าหมายหลัก 8 ข้อ 1 ใน 8 ข้อ คือ ขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหย แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ชัดว่า ปัญหาความยากจนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ สำคัญยิ่งประชาคมโลกจึงให้ความสนใจมาก
เรื่อง “เด็กอนาคตของชาติ” คือเรื่องที่ผมห่วงใยมากอีกเรื่องหนึ่ง เราพูดกันเสมอว่า เด็กคืออนาคตของชาติเราพูดถูกเราพูดถึงคำที่ยิ่งใหญ่มากมีความสำคัญมากเพราะเด็กไทยคือผู้ที่กำลังเติบโตเพื่อดูแลประเทศของเราจริงๆ และโดยตรง “กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการสร้างอนาคตของชาติ โดยกำหนดเป้าหมายโครงการ ยุทธศาสตร์และนโยบายการศึกษา กำหนดให้ทุนทางสังคมร่วมมือกับกระทรวงเพื่อสร้างเด็ก สภาการศึกษา ได้นำเสนอรายงานฉบับหนึ่งคือ รายงาน “คุณลักษณะและวิถีการเรียนรู้ของเยาวชนรุ่นใหม่” โดย..รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ สุอังคะวาทิน ผู้เขียนได้เสนอการบูรณาการคุณลักษณะเด็กไทยในประชาคมโลกกับสังคมไทยให้สมดุลกันอย่างเหมาะสม งดงาม มีเอกลักษณ์ มีชาตินิยมที่ถูกทาง เรียนรู้และปรับตัวเองได้ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณลักษณะของเด็กไทยที่พึงประสงค์ ผมขอคัดมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง มี 10 ข้อ ดังนี้
1.ยิ้มอย่างไทย ใจดี มีน้ำใจ ใฝ่สันติ รักความยุติธรรมผูกมิตร เป็นเพื่อนกับทุกคน รักธรรมชาติ, 2.มีความมั่นใจในตนเองแบบสากล แต่ อ่อนน้อมถ่อมตนแบบวัฒนธรรมไทย,3.มีความสามารถในการใช้ทักษะภาษาอังกฤษ ภาษาคอมพิวเตอร์ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย (GlobalLiteracy), 4.รู้ สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ จิตสำนึกสาธารณะ ในการเมือง ระบอบประชาธิปไตย, 5.ดำเนินชีวิต
แบบเศรษฐกิจพอเพียง การรู้จักพึ่งตนเองมีแนวทางมัชฌิมาปฏิปทาเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามแนวพระพุทธศาสนา
6.การเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้มีทักษะการจัดการและการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ, 7.การรู้จักคุณค่าของตนเอง ยอมรับในความแตกต่างแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การดูแลสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย, 8.การเป็น คนเก่ง ดี มีความสุข รู้จักปรับตนเองในกระแสโลกาภิวัตน์ได้อย่างสมดุล แยบยลและรู้เท่าทัน, 9.การมีทักษะชีวิตในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มีภูมิต้านทานของจิตใจที่เข้มแข็งจนสามารถปฏิเสธกับอันตรายต่างๆ ที่กระตุ้น ยั่วยุให้หลงผิดได้,10.มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย การดำรง รักษา ถักทอ สานต่อวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต
ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้
พลเอกเปรมได้กล่าวย้ำหนักแน่นว่า ผมขอเชิญชวนให้ท่านทั้งหลายให้ความสำคัญในประเด็นดังกล่าว อนาคตของชาติเราขึ้นอยู่กับ เด็กเก่ง เด็กดี เราต้องการ เด็กเก่ง เด็กดี มากที่สุดเท่าที่เราจะสร้างได้และมากที่สุดเท่าที่เด็กจะคิดเองเรียนรู้เองได้
ครับ!! ในตอนหน้าจะขยายความ ความหมายคนดีคนเก่ง คนมีความสุข และได้พูดถึง “เด็กไทยพันธุ์ใหม่”ที่มีคุณสมบัติ เด่นชัด ซึ่งหากตั้งแต่ปี 2547
ถึงปัจจุบันเด็กไทยเปลี่ยนไปมาก กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรนำปาฐกถานี้
ไปพิจารณาให้ท่องแท้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี