ในทางอุตสาหกรรมอาหาร จะมีคำศัพท์ 2 คำบนฉลากที่ต้องรู้จักและเข้าใจ นั่นคือคำว่า “วันหมดอายุ” กับ “ควรบริโภคก่อน”
วันหมดอายุ คือ วันสุดท้าย ที่จะบริโภคอาหารนั้นๆ ได้ พ้นจากวันนั้น ไม่ควรบริโภคอีก เพราะอาหารได้ “เปลี่ยนสภาพ” หรือเริ่มเน่าเสีย ขืนบริโภคต่อไป อาจมีอันตรายต่อสุขภาพ ถึงขั้นเสียชีวิตได้
ควรบริโภคก่อน คือ วันสิ้นสุดของช่วงเวลาที่อาหารมีคุณภาพดี เลยจากวันนี้ คุณภาพของอาหารนั้นๆ จะแย่ลงเรื่อยๆ ต้องพิจารณาว่าจะบริโภคต่อหรือไม่
ในทางการเมืองขณะนี้ เป็นช่วงเวลาของการ “ส่องดูฉลาก” ว่ารัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งเป็น “รัฐบาลผสม” ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดฉลากว่า “วันหมดอายุ” หรือ “ควรบริโภคก่อน” !!
สภาพการณ์ที่ 1) ขบวนการปลด “อนุทิน ชาญวีรกูล”
มีการล่ารายชื่อโดยอ้าง “หมอ” ใน www.change.org เพื่อปลดนายอนุทิน ชาญวีรกูล ออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการอ้างข้อบกพร่อง ความไม่มีประสิทธิภาพ และการไร้ความสามารถมากมาย
26 เมษายน 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คภายหลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์โจมตีการทำงานแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 โดยระบุว่า ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ ทั้งโพสต์ ทั้งไลน์ และ โทรมาด้วยตัวเอง ว่า...
“...ผมยังเข้มแข็งดี ทั้งร่างกายและจิตใจ และยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับคณะแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุข ทั้งของกระทรวงสาธารณสุข และ หน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน และ การควบคุมโรคให้ได้ผล
...บางท่านทั้งให้กำลังใจ และห่วงใยว่ามีการยึดอำนาจ แย่งอำนาจของกระทรวงสาธารณสุข ผมได้แต่ตอบไปว่ารองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และเป็นผู้รับผิดชอบ อยู่แล้ว ผมมีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบาย และคำสั่งท่านนายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด
...ส่วนเรื่องการป้องกัน และ ควบคุมโรคระบาดโควิด-19 นั้น ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์โควิด หรือ ศบค. เป็นผู้จัดทำนโยบาย พิจารณา ออกคำสั่ง กำกับการปฏิบัติงาน โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยปฏิบัติตามนโยบายของศบค.
...หลายครั้งที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอมาตรการควบคุมโรค หากศบค. ไม่เห็นด้วย ก็ต้องกลับมาปรับมาตรการ ทั้งการตรวจ การป้องกัน การรักษา การจัดหายา เวชภัณฑ์ และ การฉีดวัคซีน ที่ผ่านมา ศบค. เป็นผู้บริหารแบบ Single command มาตั้งแต่ต้น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 กระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติตามนโยบายศบค. ด้วยดีมาตลอด จึงขอความกรุณาอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมือง และสร้างกระแสให้เกิดความขัดแย้ง และส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามนโยบาย และคำสั่งนายกรัฐมนตรี และรายงานการปฏิบัติงาน ให้นายกรัฐมนตรี ทราบทุกครั้ง
...ขอยืนยันว่า ไม่มีการยึดอำนาจ ไม่มีการแย่งอำนาจ เพราะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.”
ความหมายในถ้อยแถลงนี้ เป็นการวิพากษ์แบบละมุนละไมว่า “กูแค่ฝ่ายปฏิบัติ คนคิด คนวางแผน คนออกมาตรการทั้งหลายแหล่ คือ ศบค. ที่นายกฯ เป็นผอ. โว้ย!!” ซึ่ง “...ไม่มีการยึดอำนาจ ไม่มีการแย่งอำนาจ เพราะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และในฐานะผู้อำนวยการ ศบค....”
จัดว่าเด็ด!!! และจัดจ้าน!!
สภาพการณ์ที่ 2) “สิระ” ปะทะ “ศุภชัย”
27 เม.ย.2564 นายสิระ เจนจาคะ สส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชี รายชื่อ พรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊คระบุเกี่ยวกับการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการตั้ง ศบค. ซึ่งการใช้อํานาจพิเศษเป็นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถนัดที่สุด จึงไม่แปลกที่มีการเลือกใช้อํานาจพิเศษในการจัดการกับโรคระบาด โดยมีการตัดภาคการเมืองออกจากโครงสร้างของ ศบค.ว่า
...นายศุภชัย อย่ามาใช้โอกาสนี้เพื่อเล่นเกมทางการเมือง การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นใน ศบค.ต้องย้อนกลับไปถามตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าของพรรคภูมิใจไทยดูว่า ในส่วนความรับผิดชอบที่ขึ้นตรงกับเจ้ากระทรวง มีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นหรือไม่ จนทำให้หน่วยงานความมั่นคง ต้องมานั่งหัวโต๊ะกําหนดทิศทาง ของ ศบค. แทนที่จะเป็นสาธารณสุข คำถามตรงนี้ นายอนุทินน่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุด
“พรรคภูมิใจไทยอย่าทำพฤติกรรม เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เวลาที่นายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยสร้างผลงานได้ ก็ไม่เห็นจะพูดให้ความดีความชอบกับภาพรวมของรัฐบาล แต่เวลาตัวเองเจอปัญหา กลับโยนมาให้เป็นความรับผิดชอบสูงสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่เวลาคนในพรรคท่านสร้างปัญหา ท่านนายกรัฐมนตรีไม่เห็นจะออกมาตำหนิท่านเลย ประเด็นนี้ผมว่า เมื่อประชาชนเขารับข่าวสาร ก็จะสามารถตัดสินเองได้ว่า ใครที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประเทศและประชาชน ส่วนใครที่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว”
นายสิระ กล่าวต่อว่า ปมปัญหาคลัสเตอร์ทองหล่อที่ประชาชนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ก็มีการเชื่อมโยงไปถึงรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งยังไม่สามารถชี้แจงแถลงไขให้คนไทยเชื่อใจในตัวของท่านได้เลย ฉะนั้น วันนี้ตนคิดว่า เป้าหมายที่สำคัญ คือ การช่วยกันนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ ไม่ใช่เวลาที่จะต้องชิงดีชิงเด่น ถ้าสุดท้ายรัฐมนตรีที่มาจากพรรคภูมิใจไทยทำงานเข้าตา ประชาชนก็จะเห็นได้เอง โดยที่ท่านไม่ต้องมาร้องแรกแหกกระเชอในสถานการณ์เช่นนี้ บรรดานักการเมืองอย่าทำตัวให้อายประชาชนเลย”
จัดว่าเด็ด!!! และจัดจ้าน!!
สภาพการณ์ที่ 3) เสียงก้องจาก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์”
25 เมษายน 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแบ่งงานให้รัฐมนตรีแต่ละคน แต่ละพรรค โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) รับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง แถมส่ง “ธรรมนัส” เจาะพื้นที่ภาคใต้ ว่า ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจกับคำสั่งดังกล่าว และได้มีการหารือกันในระหว่างรัฐมนตรีของพรรคในทันที
ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายนิพนธ์
บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งให้นายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องทราบแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา จากนั้นในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงเช้าวันที่ 20 เมษายน 2564 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้แจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้รับทราบว่า จะมีการทบทวนคำสั่งดังกล่าว คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าน่าจะแล้วเสร็จได้เพราะถ้ายุติได้เร็วก็จะเป็นการดีเรื่องจะได้ไม่บานปลาย โดยไม่จำเป็น” นายจุรินทร์ กล่าว
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการหยิบยกกรณี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ แนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กล่าวถึงคำสั่งดังกล่าวว่า ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หากมีอะไรให้ส่งไปที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังดูอยู่ ให้ไปดูงานเดิมที่ทำ และอย่าไปสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด หรือสร้างปัญหาให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด และช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มาเล่นการเมือง
จนเมื่อเวลา 12.30 น. หลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยันว่า จนถึงวันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงเป็นคำสั่งเดิม ทั้งนี้ ตนได้ให้แนวทางไปว่า ให้ลองดูว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งตนได้ให้แนวคิดไปแล้ว
“วันนี้ยังไม่ได้ตกลงอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปให้เป็นข่าวจนเสียหาย วันนี้ไม่ใช่เวลาการเมือง เป็นเวลาของการทำงาน แล้วก็ไม่ได้มุ่งหมายว่าจะให้พรรคใครได้ประโยชน์ ทุกพรรคที่อยู่ร่วมกับผม พรรคร่วมก็อยู่กับผม ผมก็รับผิดชอบให้ท่านอยู่แล้ว ทำให้มันถูกต้องขึ้นมาผมก็ยินดี แม้กระทั่งในบางพื้นที่ที่เป็นของ สส.ฝ่ายค้าน ผมก็ดูแลในทุกจังหวัด เพราะฉะนั้นการทำงานวันนี้ มีการสั่งการจากคณะรัฐมนตรีลงไป เป็นโครงการที่เป็นนโยบายเกี่ยวกับเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในทุกกรณี การจัดทำแผนงานโครงการและการอนุมัติงบประมาณ ซึ่งเป็นการทำงานของรัฐบาล อีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ว่าราชการจังหวัด จะเป็นผู้พิจารณาแผนงานโครงการต่างๆ ในพื้นที่
ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดก็ตาม ที่แต่งตั้งไปดูแลพื้นที่จังหวัดใดก็ให้ไปติดตาม แผนการโครงการที่อนุมัติไปแล้วว่าดำเนินการดีหรือไม่ดี ได้ผลหรือไม่ได้ผล แต่ถ้าหากว่ายังเห็นว่ามีอะไรขาดเหลือต่างๆ รัฐมนตรีก็นำมาเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และเข้ามาถึงผม ให้นำเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อจัดสรรโครงการลงไปใหม่เพิ่มเติม เราทำงานแบบนี้ไม่ใช่ต่างคนต่างไปรุมผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งคงไม่ใช่ และจากการสอบถามแล้ว ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็มีหลายคนปล่อยข่าวออกมาแบบนี้ ก็ขอให้ทุกคน ทุกกระทรวง เคลียร์ด้วยก็แล้วกัน ขอให้เข้าใจตรงกันว่ารัฐบาลจำเป็นต้องบริหารทั้งสองทาง และไม่ได้ปิดกั้นรัฐมนตรีคนใดทั้งสิ้น ไม่ได้ทำตามคะแนนเสียงของการเมือง แต่เอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักในทุกพื้นที่ และทุกคนก็คือ ครม. คือรัฐบาลด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
สรุป : ระบบ Single Command แบบอดีต ผบ.ทบ. แบบอดีตหัวหน้า คสช. จะก่อ “รอยร้าวสะสม” ในใจของพรรคร่วมรัฐบาล และรอ“วันหมดอายุ” หรือ “ควรบริโภคก่อน”วันที่เท่าไหร่ ให้ค่อยๆ พิจารณากันไปครับ เพราะไม้เด็ดที่อยู่ในมือ ที่ทำให้พรรคร่วมยังต้องสงบเสงี่ยม “หวานอมขมกลืน” รอ คือ “การแก้รัฐธรรมนูญ”
เพราะหากยังเป็นกติกาเดิมที่บรรจงชงกันเอาไว้ ก็ยังไม่มีใครจะเป็นใหญ่ได้ นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี