เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ศาลอาญา
มีขบวนการข่มขู่คุกคาม กดดัน ดูหมิ่นศาล ละเมิดอำนาจศาลอย่างโจ่งแจ้ง
อ้างว่า ให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่อดอาหารประท้วง โดยอ้างป่วยหนัก ใกล้ตาย
1. ในความจริง นายเพนกวินไม่ได้อึมีชิ้นเนื้อปนออกมาอย่างที่เอาไปปั่นข่าวกันเลย
หมอตรวจอาการละเอียด ใกล้ชิด แถมเจ้าตัวไม่ยอมให้หมอตรวจทวารอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ ถ้าป่วยหนักก็น่าจะให้หมอตรวจละเอียดเพื่อความปลอดภัย
ล่าสุด เรือนจำส่งตัวออกไปตรวจรักษาที่ รพ.รามาธิบดี ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีอาการใกล้ตาย “อึถ่ายออกมามีชิ้นเนื้อปน” อย่างที่บรรดาหัวหงอกหัวดำหลังม็อบ ออกมาปั่นกระแสร่วมกดดันศาลไปกับเขาด้วย
2. นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ระบุว่า กรณีที่ศาลอาญา มีแกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เดินทางมาสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อยื่นจดหมายและรายชื่อผู้สนับสนุนเรียกร้องให้ประกันตัวแกนนำ
กลุ่มราษฎร พร้อมเปิดปราศรัยที่หน้าบันไดศาล โดยกล่าวโจมตีและเรียกร้องให้ผู้พิพากษาลงมารับจดหมายด้วยตัวเอง แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะประกาศขอให้อยู่ในความสงบก็ไม่เป็นผล ถูกผู้ชุมนุมโห่อย่างต่อเนื่อง
“.....ต่อมาเวลา 15.00 นาฬิกา เมื่อผู้พิพากษาไม่มารับจดหมายและรายชื่อนางสาวเบนจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้วิ่งขึ้นบันไดศาลแล้วโปรยเอกสารรายชื่อที่รวบรวมมาทั้งหมดรอบบันไดศาล และปราศรัย
ด้วยความคับแค้นให้ปล่อยเพื่อนเราที่กำลังจะตาย ซึ่งทางศาลได้ทำการปิดประตูอาคารแล้ว
พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล จึงเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) และมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท
กรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้ศาลอาญาต้องลงโทษให้หนักตามที่สามารถลงโทษได้ตามกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นๆ ที่จะกระทำเช่นนี้อีก”
3. บุคคลที่ร่วมเคลื่อนไหวคุกคามกดดันศาล ใครที่เกี่ยวข้อง สนับสนุน หากมีคดีความอยู่ หรืออยู่ระหว่างได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สมควรจะถูกเพิกถอนการประกันตัว เพราะมีพฤติกรรมคุกคามศาลชัดเจน
4. พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ รวมถึงนักการเมือง นักวิชาการบางส่วน ที่พยายามแซะศาล โจมตีโดยอ้างข้อมูลแบบครึ่งเสี้ยว กล่าวหาศาลอย่างไม่เป็นธรรม
ปัจจุบัน อุกอาจถึงขนาดนำภาพถ่าย ชื่อ ที่อยู่ ผู้พิพากษาไปด่า ล่าแม่มดกันในโลกออนไลน์ โดยที่กลุ่มอาจารย์และนักการเมืองที่สนับสนุนม็อบ
“อมสาก” ไม่เคยออกมาตำหนิ ตักเตือน ห้ามปราม เช่นเดียวกับตอนที่จำเลยไปปราศรัยด่าในหลวง หยามหมิ่น หยาบคาย ก็ไม่เคยออกมาตักเตือนเลย แต่พอถูกดำเนินคดีก็ออกมาช่วยกดดันศาล ช่างน่าละอายมาก
5. มีการออกข่าวบิดเบือนโจมตีศาลอย่างเป็นขบวนการ
นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีการเข้ามาขู่ศาลถึงหน้าศาลแบบศาลอาญาประเทศไทย ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาจับกันไปหมดแล้ว ขนาดเราปล่อยให้เขาใช้สิทธิเสรีภาพ ได้อย่างเต็มที่ในยุคนี้ก็ยังถูกกล่าวหาว่าทำศาลให้เป็นเรือนจำ ซึ่งเป็นคำพูดของกลุ่มทนายมาหลายครั้งหลายครา ซึ่งมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง สังเกตจากเมื่อวานเราก็ไม่ได้คัดกรองอะไรเข้มจนเกินปกติ เเต่กลุ่มนี้กลับมาใช้ปฏิกิริยากดดันศาลด่าทอหยาบคาย อันนี้ไม่ใช่การใช้สิทธิแต่เป็นการก้าวร้าวไม่เคารพกฎหมายมากกว่า”
“..การปล่อยชั่วคราวตามสิทธิสามารถกระทำได้ตลอด แต่ต้องดูป.วิอาญาเกี่ยวกับเรื่องการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวว่าก่อนหน้านี้ที่ศาลไม่ให้ประกันเป็นเพราะอะไร
ที่ศาลมีคำสั่งให้ประกันก่อนหน้านี้เพราะว่าพิจารณาตามลักษณะภาพและการกระทำจำเลยแต่ละคนในคดีที่ถูกฟ้อง ว่ากระทำอะไรบ้าง จึงไม่อนุญาต โดยอาศัยหลักตามมาตรา 108/1 ที่ว่าหากให้ประกันแล้ว เกรงว่าจะไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่น ซึ่งเหตุนี้มีความหมายว่าเป็นเรื่องที่กระทำมาแล้วแล้วจะกลับไปกระทำอีก ส่วนผิดหรือไม่ผิดเอาไว้อีกที เมื่อเขาฟ้อง
มาเเล้วว่าคุณทำอย่างนี้ปล่อยคุณไปก็ไปกระทำอีกอันนี้ก็เป็นเหตุอันตรายประการอื่นก็ได้หรือเป็นเหตุอันตรายประการอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคดีนี้ คือไปก่อเรื่องอื่นที่ผิดกฎหมายเรื่องอื่น อันนี้ก็อยู่ในของเขตคำนี้ศาลก็พิจารณาถึงข้อนี้จึงไม่อนุญาตไป
การขอประกันครั้งต่อไป ต้องดูว่าสิ่งที่ศาลไม่อนุญาตเพราะเหตุใด และจำเลยหรือผู้ต้องหาจะสามารถแก้ไขเหตุนั้น หรือทำให้เหตุนั้นมันเปลี่ยนเเปลงไปเเล้ว เหมือนกรณีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ เเละนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ ที่ทั้ง 3 แถลงต่อศาลเองว่าจะไม่กระทำเเบบเดิมเเละศาลก็รับเงื่อนไข ซึ่งทั้ง 3 นั้น ช่วงที่ถูกควบคุมตัวอาจจะไปนั่งคิด พิจารณาขึ้นมาว่าสิ่งที่ทำลงไปมันไม่ควรจะทำและเข้าใจในคำสั่งศาลว่า คำว่าไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่นซ้ำในสิ่งที่ถูกฟ้องมา จึงมาแถลงต่อศาลเองว่าจะไม่กระทำเเบบเดิม มันจึงเป็นเหตุที่ถูกเเก้ไข
แต่ในคำร้องที่ยื่นมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา มันแตกต่างกับ 3 คนที่ได้ประกันตัวในหลายประเด็น
ของ 3 คนนั้น ตัวจำเลยเองเป็นคนลงชื่อในคำร้องเเละยืนยันต่อศาลขอให้ศาลทำการไต่สวน และแถลงต่อศาลด้วยตนเองว่าจะไม่กระทำลักษณะที่ถูกฟ้องและจะไม่ก่อเหตุร้ายประการอื่น ส่วนข้อกำหนดอื่นก็ให้ศาลสั่งซึ่งศาลเองก็ไม่สามารถสั่งอย่างอื่นได้ต้องสั่งตามป.วิอาญา มาตรา 108 / 1 ที่ว่าจะไม่ก่อเหตุร้ายประการอื่นศาลก็จะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เพราะจำเลยเป็นคนเสนอเงื่อนไขเองและจำเลยก็เป็นคนแถลงเองไม่ใช่ทนายความเป็นคนแถลงแต่ฝ่ายเดียวมันแตกต่างกัน
ส่วนที่ทนายความยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ทนายยื่นเองเนื้อหาก็ไม่ได้พูดถึงเลย พูดเพียงแต่ว่าให้ศาลกำหนดเงื่อนไขเอา ซึ่งศาลจะไปบังคับเขาก็ไม่ได้ ศาลจะไม่บังคับใครแต่ว่าหากตัวจำเลยเห็นว่าสิ่งที่ศาลสั่งว่าเกรงจะไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่นที่ศาลก็บอกแล้วว่าที่ไม่ให้ประกันเกรงจะไปกระทำซ้ำในความผิดที่ฟ้องเเละจำเลยตัดสินใจจะไม่กระทำเเบบนั้นอีก พร้อมยอมรับในกระบวนการยุติธรรมอีก ศาลก็จะพิจารณา”
นายสิทธิโชติยังเปิดเผยด้วยว่า “ที่ต้องระบุเรื่องการยอมรับในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากตอนหลังมีเหตุแทรกซ้อน ในกระบวนการพิจารณาซึ่งศาลได้กระทำตามขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง เเต่อยู่ๆ มาบอกว่าไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรม
และขอถอนกระบวนการพิจารณาถอนทนายพร้อมไม่ลงชื่อในรายงานพิจารณาพร้อมกับเอารายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนเองภายหลังจากที่ศาลลงจากบัลลังก์ไปแล้ว ทั้งที่จริงเเล้ว เรื่องนี้อาจจะต้องเข้าข่ายผิดละเมิดอำนาจศาลด้วย เเต่ศาลเห็นว่าไม่ควรดำเนินคดีอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไป จึงมองแต่เพียงว่าไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาเเละไม่ลงชื่อในการพิจารณาคดีต่อไป ตรงนี้มันทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในสิ่งที่จำเลยยืนยันว่ายินดีที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้เสนอมา ทำให้ศาลไม่เชื่อว่าจะกระทำตามเงื่อนไขได้
ในเคสของ 3 คน ในตอนเเรกจึงให้ประกันเเต่นายปติวัฒน์ ที่ยอมรับกระบวนการพิจารณา ส่วนอีก 2 คน ไม่ได้ประกันตัวในครั้งนั้น จนมาภายหลังมีการเปลี่ยนเเปลงเเก้ไขตั้งทนายเเละยอมรับกระบวนการพิจารณาตามปกติ จนศาลเชื่อถือว่าปฏิบัติจึงอนุญาตปล่อยนายสมยศเเละไผ่ ซึ่งสั่งไปตามกฎหมาย ไม่ได้มีอะไรเเปลกพิสดาร ทุกอย่างมันขึ้นกับข้อเท็จจริงเเบบนี้
เเต่เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ทนายไม่ได้ยื่นรายละเอียดว่าเขาจะไม่ทำอะไรบ้างตามที่ศาลเคยสั่งไป สองจำเลยไม่เคยพูดหรือไม่เคยเขียนรายละเอียดอะไรเลย แม้กระทั่งวันที่ออกศาลมาพิจารณาพร้อมกับหมอลำแบงค์ ตัวจำเลยคนอื่นก็อยู่ด้วยกันตลอดจำเลยทั้ง 7 คนที่ยื่นประกันก็ไม่เสนอเงื่อนไขอะไร เงื่อนไขที่อ้างว่าเจ็บป่วยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ทางราชทัณฑ์ก็ยืนยันตลอด คือมันไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ตรง สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความกดดันต่อความรู้สึกผู้พิพากษา ซึ่งผู้พิพากษาจะต้องทำงานโดยปราศจากความกดดันใดๆ ทั้งสิ้น” อธิบดีผู้พิพากษาอธิบายความ
6. ที่ผ่านมา ทำไมศาลไม่ให้ประกันเพนกวิน?
ย้อนกลับไป ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ไม่ให้ประกันตัว
คำสั่งระบุชัดเจนว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง การกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และมีลักษณะชักนำประชาชนให้ล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน นอกจากนี้ ยังปรากฏพฤติการณ์ว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ในคดีอื่นอีก เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งถูกจับกุมตามหมายจับกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตราย หรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าอาจจะหลบหนีจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว
จะเห็นว่า ศาลมีบรรทัดฐานในการวินิจฉัย มีหลัก มีข้อกฎหมายรองรับ มีการระบุถึงข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์ของจำเลย ว่าทำไมจึงไม่ให้ประกัน และถ้าจะเปรียบกับกรณีที่ให้ประกันตัวแกนนำ กปปส. ก็จะเห็นชัดเจนว่า พฤติการณ์จริงของแกนนำ กปปส.นั้น แตกต่างจากแกนนำคณะราษฎรอย่างไร ไม่เคยหลบหนี ไม่เคยจัดม็อบหรือกระทำแบบเดิมตามที่ถูกกล่าวหา มีแต่ไปศาลทุกนัด แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย แต่โทษจำคุกสำหรับความผิดในแต่ละกระทงก็ไม่สูงนัก อีกทั้งจำเลยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี