ความร้อนแรงของการชุมนุมบนท้องถนนที่มีการยกระดับ และปรับเปลี่ยนวิธีการไปเป็นคาร์ม็อบ ในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯและทั่วประเทศในหลายจังหวัด จากที่คิดว่าจะเลี่ยงเรื่องกติกาในการควบคุมโควิด แต่กลายเป็นหนักกว่าเดิมและลุกลามไปจนถึงเกิดเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่จนกระทบประชาชนในบริเวณนั้นๆ
ไม่รู้ว่าด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดเช่นนี้การเมืองบนท้องถนนยังเหมาะสมแก่สถานการณ์หรือไม่? จนมาเห็นภาพชัดมากขึ้นเมื่อในหลายพื้นที่แกนนำผู้ชุมนุมก็มาจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง หรือบางที่เป็น สส. จากพรรคฝ่ายค้านที่ออกมานำม็อบเสียเองด้วยซ้ำ ตกลงตอนนี้พรรคการเมืองกำลังทำอะไรกันอยู่? หรือคิดวางแผนจะทำอะไร? และความรุนแรงในบางพื้นที่ที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องตามกฎหมายอะไรหรือไม่? แล้วตกลงการชุมนุมที่เกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อวันก่อนใครเป็นคนนำ? เกี่ยวพันกับพรรคการเมืองใดหรือไม่?
แล้วบทบาทจริงๆ ของพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ บทบาทในสภา เขาทำหน้าที่อะไร? โดยตอนนี้กำลังมีการประชุมกรรมาธิการงบประมาณ
แม้ว่าสถานการณ์ของฝ่ายรัฐบาลจะเพลี่ยงพล้ำจากศึกหลายด้าน และกำลังโดนไล่บี้จากกลุ่มผู้ชุมนุมเดินสายไปยังพรรคร่วมฯ ให้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล รัฐสภาซีกฝ่ายรัฐบาลยังคงเหนียวแน่นไม่แตกแถวจากการโหวตในกรรมาธิการงบประมาณก็ยังเดินหน้าต่อไป ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นและมีมากขึ้นในบางมาตราด้วย โดยจากกรณีงบกลาง ที่รัฐบาลเสนอให้มีการตัดงบ 1.6 หมื่นล้านมาช่วยประชาชนเพื่อมาสนับสนุนการแก้ปัญหาโควิด-19 โดยการมารวมไว้ที่งบกลางนั้น ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยสนับสนุนให้นำงบประมาณมาลงในงบกลางเพื่อแก้ปัญหาของประชาชนก่อน มากกว่าการทำตามวิธีการงบประมาณปกติ เพราะชีวิตของประชาชนรอไม่ได้
ขณะที่ก้าวไกลเองมีข้อกังวลในเรื่องของการใช้งบกลางว่าจะมีการแปลงงบไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่? ซึ่งในเรื่องนี้ทางฝั่งเพื่อไทยเอง ก็ออกมาเน้นย้ำว่าในงบกลางดังกล่าวก็มีกำหนดเรื่องวัตถุประสงค์อยู่แล้วขณะที่การตรวจสอบก็ยังทำได้ แต่ประชาชนรอไม่ได้ เรื่องนี้คงอาจไม่ถึงเป็นรอยร้าวของพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อนการอภิปรายงบประมาณและการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่อาจแสดงถึงการตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศจากการระบาดของโควิดกลายพันธุ์ที่กำลังกลายเป็นวิกฤติ
อีกครั้งของโลกตอนนี้ที่อาจรุนแรงมากกว่าปีที่แล้ว
เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การนำเข้าส่งออกหยุดชะงักในแทบจะทุกประเทศและทุกสินค้า เว้นสินค้าอาวุธยุทโธปกรณ์และผลิตภัณฑ์สาธารณสุข ซึ่งนับไปแล้วก็มีเจ้าตลาดไม่กี่ประเทศนั้น หากไม่นับรวมประเทศที่ผลิตสินค้าเหล่านั้น ตอนนี้ทุกประเทศกำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจและการค้าที่คล้ายๆ กัน จากมาตรการปิดประเทศตนเอง หรือมาตรการล็อกดาวน์เมืองสลับเปิดเมือง ส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจดำเนินการได้ไม่สมบูรณ์และเชื่อมต่อกันส่งต่อมาที่ประชาชน ที่จะพบการบริโภคในประเทศลดลง
ในขณะที่บางส่วนตกงานหรือธุรกิจขนาดกลางและเล็กตลอดจนธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวที่ทยอยปิดตัวทีละกลุ่มธุรกิจเนื่องจากรอเวลาสงครามโควิดจบไม่ไหวแล้ว ความลำบากของประชาชนจึงเปลี่ยนไปสู่ความโกรธเคืองต่อรัฐบาล และบางส่วนปะทุมาสู่การประท้วงบนท้องถนนที่สุด ตามที่ได้เห็นทั่วโลก
1ปีผ่านไปมาถึงวันนี้ที่ดูเหมือนยังไม่เห็นปลายทางของการสิ้นสุดการระบาด และตอนนี้สถานการณ์การระบาดได้เปลี่ยนรูปแบบสู่การกลายพันธุ์ และยืดเยื้อ รัฐบาลจะปรับยุทธศาสตร์ใหม่หรือไม่ ?
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การจัดการต้องเปลี่ยนตามหรือไม่? โดยการแพร่ระบาดรอบนี้เชื้อโควิด-19 ทั่วโลกตอนนี้ ก็ได้ปรับตัวกลายพันธุ์มากขึ้นไปอีก และยากต่อการจัดการ ขณะที่วัคซีนที่ได้รับการเชื่อถือว่าสามารถจัดการได้อย่าง mRNA ก็กลับมีประสิทธิภาพลดลงในการจัดการเชื้อกลายพันธุ์ จนหลายประเทศที่ใช้วัคซีนประเภทนี้ ที่เคยเปิดเมืองไปแล้วก็ต้องกลับมา
ทบทวนมาตรการการป้องกันใหม่ จนกลับไปปิดเมืองอีกครั้ง อย่างในยุโรปหรือสหรัฐเอง ที่ใช้แต่ mRNA ก็ตาม
แต่นอกจากสายพันธ์ุกลายพันธ์ุ เดลต้าจะระบาดครองโลกทุกวันนี้แล้ว ก็ยังมีสายพันธ์ุกลายพันธุ์ใหม่มาแรงอีกสองสายพันธ์ุนั่นคือ สายพันธุ์แลมบ์ด้า ที่มาจากเปรู ที่อาจกำลังเข้าอาเซียน ในพื้นที่ของมาเลเซียก็ยังน่าห่วงว่าจะเข้าสู่ไทยด้วยหรือไม่? ที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเข้ามาทางพรมแดนส่วนใดหรือไม่ เพราะแต่เพียงเฉพาะเชื้อเดลต้า(อินเดีย) ก็ยังนับว่าหนักหนาแล้ว หากต้องเจอเชื้อที่มีความรุนแรงมากขึ้นจะทำอย่างไรต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นคือการค้นพบการกลายพันธุ์ใหม่ชื่อว่าเชื้อเอปซิลอน ที่มีต้นกำเนิดการกลายพันธ์ุครั้งแรกที่สหรัฐแต่ตอนนี้ได้เดินทางมาถึงปากีสถาน และถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่น่าจะโหดร้ายที่สุดตอนนี้ เพราะจากข้อมูลในข่าวเบื้องต้นพบว่า มีการระบาดที่ง่ายดายไม่แพ้เดลต้า แต่เพิ่มพลังด้วยการหลุดจากการป้องกันของวัคซีนได้ทุกชนิดที่แม้แต่ mRNA ก็ตาม? จึงอาจกลายเป็นสายพันธ์ุที่น่ากลัวในเวลาอันใกล้นี้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วการวางมาตรการต้องมองให้มากกว่าการสู้กับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า หรืออัลฟ่า แบบในอดีต แต่ทั่วโลกตอนนี้ต้องกลับมามองให้มากว่า วัคซีนชนิดใดที่จะป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ที่พัฒนาไปทุกวันได้ การเร่งซื้อวัคซีน mRNA ตอนนี้ที่น่าจะมาถึงในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าก็อาจจะถูกมองว่าเหมือนการซื้ออาวุธมือสองที่ไม่รองรับต่อการพัฒนาของเชื้อที่มีการปรับตัวกลายพันธุ์ในทุกๆ วันหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ รัฐบาลต้องมองให้ขาดว่าจะทำอย่างไร เพราะศึกที่ว่าจะจบง่ายๆ ในปลายปีนี้ ก็กลับไม่ใช่แบบที่คิดแล้ว เพราะการกลายพันธุ์อาจทำให้ศึกนี้ยืดออกไปถึงปี 2566 เลยก็เป็นได้ ทำให้ขั้นตอนของการเตรียมการรับมือเชื้อกลายพันธุ์ อาจต้องวิเคราะห์กันใหม่ว่าจะรับมืออย่างไร? คงไม่ใช่แค่การ คิดแล้วว่าจะฉีดวัคซีนให้ทันต่อการเข้าหรือการกระจายของเดลต้าอย่างไรแต่ต้องคิดใหม่ว่าจะปรับการบริหารกับการกลายพันธุ์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดแบบนี้ได้อย่างไร?
นอกจากวัคซีนแล้วคลังยาเราพร้อมแค่ไหน เพราะถ้าเราจะต้องอยู่กับโรคที่กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ก็ควรเตรียมการค้นหาและวิจัยยารักษาแบบเดียวกับที่ให้จุฬาฯคิดวัคซีน ที่คนไทยเองก็ไม่ควรดูถูกฝีมือบุคลากรทางการแพทย์ของไทย เนื่องจากสถานการณ์การพึ่งพาต่างชาติจากการซื้อวัคซีนจากชาติผู้ผลิต ก็พ่วงมาด้วยการเมืองระหว่างประเทศ และแรงบีบของประเทศใหญ่ที่ไม่ได้สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจริงๆ แบบที่ปรากฏในข่าวถึงความบังเอิญของหลายประเทศที่ต้องสั่งซื้อยุทโธปกรณ์ในช่วงเวลาเดียวกับที่สั่งซื้อหรือได้รับบริจาควัคซีน ซึ่งในเรื่องนี้หากรัฐบาลสามารถทำให้ไทยไม่ต้องพึ่งพาการผลิตและการวิจัยจากต่างประเทศมากเกินไปก็จะทำให้การบริหารสถานการณ์ในระยะยาวคล่องตัวมากขึ้น
แนวทางการจัดการกระบวนการรักษาที่ไม่พอเพียงในบางจุดและการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า ที่ถือเป็นจุดอ่อนของฝ่ายปฏิบัติของรัฐบาล ที่ผู้กำหนดนโยบายควรต้องลงมาดูจริงจังและปรับระบบใหม่อย่างจริงจังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
อีกประการคือการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ แบบที่ยังมีการติดโควิดแบบนี้ เพราะคงไม่อาจรอให้โควิดจบได้อีกต่อไป อาจต้องปรับวิถีชีวิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนเพื่ออยู่กับโรคให้ได้ นัยหนึ่งก็คือการหาทางออกด้านการประกอบอาชีพให้กับประชาชน ทั้งส่วนภาคแรงงาน ภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ตลอดจนธุรกิจขนาดเล็กอื่นๆ ที่การหยุดอยู่บ้านเป็นช่วงๆ และจ่ายเงินชดเชยแบบนี้ต่อไปอาจเป็นปัญหาทั้งประชาชนและรัฐในอนาคต และหากรัฐจะต้องลงทุนอะไรในตอนนี้ก็อาจจะถือโอกาสลงทุนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไปเลย ทั้งเรื่องการนำเทคโนโลยีเข้ามาให้ประชาชนได้ใช้ในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและอาชีพตนเองสู่ยุคใหม่ และการปรับกระบวนการทำงานภาคราชการให้รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไปเลยเพื่อจะอยู่กับสภาวการณ์โควิดและอนาคต
นอกจากนั้นแล้วการวางมาตรการทางเศรษฐกิจยังต้องมองไปให้ถึงกระบวนการความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศที่ต้องเร่งการฟื้นตัวให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะตกขบวนในทุกทาง และแน่นอนการค้าในช่วงนี้ผูกพันอย่างแนบแน่นกับเรื่องความมั่นคง จากสภาวะความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ระหว่างสหรัฐและจีน ที่เรามิอาจละทิ้งความสัมพันธ์กับฝ่ายใดได้เลยในเรื่องความมั่นคง แม้จะต้องถูกบีบให้เลือกข้างก็ตาม เพราะในช่วงเดือนที่ผ่านมาจะเห็นการขยับตัวของกองทัพสหรัฐ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ในภูมิภาคเอเชียกันอย่างน่าคิดและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สงครามโควิด สงครามการค้า และความท้าทายจากความมั่นคงทางการเมืองระหว่างประเทศตอนนี้ ที่อาจเกี่ยวพันกันและเป็นโจทย์ใหญ่ให้ผู้นำแต่ละประเทศต้องหนักแน่นอย่างมากในตอนนี้.....
“เหตุการณ์ในโลกคล้ายเกมหมากรุก แปรปรวนสุดหยั่ง มีผู้ใดคาดคำนวณชะตากรรมวันพรุ่งนี้ได้”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี