กรณีคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เห็นชอบการขยายเพดานหนี้สาธารณะ เป็นร้อยละ 70 ของ GDP(จากร้อยละ 60 ของ GDP)
คนที่ลืมหูลืมตาดูสถานการณ์โลก สถานการณ์ไทยดูตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคของไทย เกือบทั้งหมดแสดงความเข้าใจ และยังมีข้อเสนอแนะให้กู้เพิ่ม เพื่อนำมาใช้จ่ายช่วยชาวบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่คนที่หลับหูหลับตาด่า ก็ล้วนแต่เป็นพวกคลั่งการเมือง จะล้มรัฐบาลลูกเดียวเท่านั้น
1. นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่า ธปท.เห็นความจำเป็นในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าว เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินนโยบายเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
โดยประเมินว่าความเสี่ยงต่างๆ ยังต่ำ การใช้จ่ายภาครัฐควรเน้นโครงการที่มีประสิทธิผลสูงและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และจะต้องเร่งลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP กลับมาที่ร้อยละ 60 ให้ได้ในระยะต่อไป
“เป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินมาตรการให้กับภาครัฐ เนื่องจากมาตรการทางการคลังยังจำเป็นต้องมีบทบาทต่อเนื่องในการช่วยเสริมรายได้ของประชาชนที่ลดลงมาก เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว นอกจากนี้ พ.ร.ก. 5 แสนล้านที่จะกู้เพิ่มเติมในปีนี้และปีหน้าเพื่อใช้เยียวยาและสนับสนุนการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอลง คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่าร้อยละ 60 ในปี 2565 อยู่ก่อนแล้ว”
นอกจากนี้ เหตุผลที่รองผู้ว่าการแบงก์ชาติ มองว่าความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังในการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นครั้งนี้อยู่ในระดับต่ำ เพราะ
(1) เพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ไปอยู่ที่ร้อยละ 70 ไม่ถือว่าสูงเกินไป ซึ่งปัจจุบัน สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ร้อยละ 55.6 เทียบกับระดับปัจจุบันของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ประมาณร้อยละ 120 และกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียที่ประมาณร้อยละ 70
(2) หนี้สาธารณะของไทยเกือบทั้งหมดเป็น หนี้ในประเทศ (ร้อยละ 98.2) และต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของไทย ณ วันที่ 20 กันยายน 2564 อยู่ต่ำกว่าร้อยละ 1.8 ซึ่งต่ำสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับเกินร้อยละ 3
(3) ความเสี่ยงในการถูกปรับลด credit rating ของไทยอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการประเมินความน่าเชื่อถือของแต่ละประเทศจะขึ้นกับประสิทธิผลของมาตรการในการพยุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจ และความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ
ประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียที่มี credit rating ระดับเดียวกับไทย มีหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงกว่าไทยเป็นส่วนใหญ่ เช่น อินเดียที่ร้อยละ 87 และมาเลเซียที่ร้อยละ 67
2. มุมมองเอกชน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์โควิดส่งผลให้ภาครัฐได้มีการใช้จ่ายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านทางมาตรการทางการคลัง โดยผ่านแหล่งเงินงบประมาณประจำปี 2563-2564 และ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทและการกู้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท รวมถึงการกู้เงินขาดดุลงบประมาณที่มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเม็ดเงินกู้ต่างๆ เหล่านี้ ประกอบกับฐาน GDP ไทยที่หดตัวลึก คาดว่าจะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของไทยแตะระดับ 60% ต่อ GDP ในปี 2564 นี้เป็นอย่างเร็ว
อย่างไรก็ดี หลายประเทศทั่วโลกมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ในแทบทุกประเทศทั่วโลกมีการอัดฉีดมาตรการการคลังในการเยียวยาประชากรและกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น จะเห็นยอดหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนนำมาสู่การขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะจะไม่กระทบเสถียรภาพทางการคลังในระยะสั้น โดยรัฐบาลยังมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ครบกำหนดได้ เนื่องจากโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนในประเทศและเป็นหนี้ระยะยาว ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก อาทิความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการ roll over หนี้ที่ครบกำหนดไม่ทัน จึงมีอยู่จำกัด
นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งจะช่วยเอื้อให้ต้นทุนของภาระหนี้ (debt service burden) ในกรอบเวลาระยะสั้นนั้นยังอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี การบริหารจัดการการคลังในระยะกลางถึงยาว จำเป็นต้องมีแผนการจัดหารายได้ภาครัฐเพิ่มเติมเพื่อลดการขาดดุลทางการคลังในระยะข้างหน้า ในขณะที่การใช้งบประมาณต้องก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นจะมีความเสี่ยงมากหรือน้อยยังอยู่ที่ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีในระยะข้างหน้า ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอาจไม่น่ากังวลเท่าหากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวหรือเติบโตในอัตราที่ต่ำ
3. กล่าวได้ว่า การขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในครั้งนี้ สมเหตุสมผล สอดคล้องสถานการณ์จริง และมีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ สำคัญคือรัฐบาลจะต้องกู้แล้วนำเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชาวบ้านและระบบเศรษฐกิจในยามนี้โดยด่วน
คนรู้ไม่ด่า คนด่าไม่รู้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี