มีวิวาทะระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ปรากฏในระยะนี้ค่อนข้างบ่อย (แต่อันที่จริงก็เป็นมาทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ) โดยเฉพาะประเด็นที่คนซึ่งเรียกตัวเองว่าผู้ใหญ่ (หรือคนแก่) มักบ่นว่า ทำไมเด็กหรือคนรุ่นใหม่จึงไม่เป็นไปตามที่ใจของผู้ใหญ่ต้องการ แล้วส่วนเด็กหรือที่ชอบเรียกตัวเองว่าคนรุ่นใหม่ก็มักจะบ่นกลับว่า ทำไมผู้ใหญ่ไม่ฟังพวกตนบ้าง เด็กบางคนไปไกลกว่านั้น เพราะไม่ใช่แค่บ่น แต่ถึงกับชี้หน้าผู้ใหญ่ว่า ผู้ใหญ่สร้างปัญหาต่างๆ นานา สารพัดให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาแก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่สร้างไว้
ก่อนอื่นผู้ใหญ่ที่มีสติต้องเข้าใจ และระลึกไว้เสมอว่า เด็กและวัยรุ่นไม่ใช่ผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นจะให้เด็กและวัยรุ่นคิดเหมือนผู้ใหญ่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันใดก็ฉันนั้น เด็กและวัยรุ่นก็ต้องระลึกไว้เช่นกันว่า ผู้ใหญ่ก็จะคิดแบบผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นการที่วัยรุ่นและเด็กตั้งคำถามว่าทำไมผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็กและวัยรุ่น จึงเป็นเรื่องที่ต้องถามกลับว่า แล้วเด็กและวัยรุ่นเคยเข้าใจผู้ใหญ่บ้างหรือไม่
ในบ้านเมืองในสังคมของเราต้องมีสมาชิกเป็นคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่อยู่ด้วยกันเสมอ ไม่เคยมีสังคมไหนมีแต่คนแก่ หรือมีแต่เด็กเท่านั้น เพราะคนทั้งสองรุ่นนี้ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันตลอดเวลา ไม่มีเด็กคนไหนอยู่ได้ด้วยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล แล้วก็ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนอยู่ได้โดยปราศจากการดูแลของเด็ก เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ก็สมควรที่คนทั้งสองรุ่นจะต้องปรับความคิดเข้าหากัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขด้วยกันทุกฝ่าย
เราทุกคนต้องการให้คนอื่นพูดจาสื่อสารและแสดงอากัปกิริยากับเราด้วยคำพูดไพเราะ และการกระทำที่สุภาพนุ่มนวล แต่เคยนึกบ้างไหมว่า เมื่อเราต้องการเช่นนั้น แล้วเราปฏิบัติเช่นนั้นกับผู้อื่นหรือไม่ บางคนต้องการให้คนอื่นพูดดีกับตนเอง แต่เวลาพูดกับคนอื่น กลับใช้วาจาที่แสนจะเลวร้าย เช่น ผู้ใหญ่บางคนก็เอาแต่ดุว่าลูกหลานตลอดเวลา ไม่ว่าลูกหลานจะทำอะไรก็กลายเป็นสิ่งขัดอกขัดใจผู้ใหญ่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีลูกหลานคนไหนอยากอยู่ใกล้ชิด หรืออยากสนทนาด้วยภาษาดอกไม้กับผู้ใหญ่
ในมุมกลับกัน เด็กบางคนก็เอาแต่พล่ามเพ้อว่าต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่สุขสบาย แสนวิเศษ ต้องการโน้นนี่นั่นสารพัด ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสารพัดชนิด หากประสบพบเจออะไรที่เป็นงานหนักต้องใช้ความพยายามเพื่อแก้ปัญหาของงานหรือสิ่งที่ตนเองประสบก็เอาแต่บ่นพล่ามตีโพยตีพายตลอดเวลา พร้อมกับโยนความผิดให้กับผู้ใหญ่ตลอดเวลาว่าไม่เตรียมความสะดวกสบายให้กับตนเอง ปล่อยให้ตนเองเกิดมาพร้อมกับความลำบากยากจน หรือบางรายหนักกว่านั้นอีก อ้างว่าบ้านเมืองเลวร้ายเพราะคนแก่สร้างปัญหาทิ้งไว้ แล้วก็เพ้อพล่ามว่าตนเองต้องแก้ปัญหาบ้านเมืองให้ลุล่วงในยุคของตน
ในเมื่อเด็กก็คิดแบบเด็ก แล้วผู้ใหญ่ก็คิดแบบผู้ใหญ่ โดยไม่เคยเปิดใจนั่งคุยปรึกษาหารือกันอย่างจริงๆ จังๆ ก็ทำให้คนทั้งสองกลุ่มนี้ตกอยู่ในสภาพสร้างวิมานกันคนละแบบ สร้างดาวกันคนละดวง เมื่อแต่ละฝ่ายก็คิดไปตามแบบของตนโดยไม่เคยเปิดใจให้กันและกัน ก็กลายเป็นต่างฝ่ายต่างมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือตัวปัญหา แล้วก็ต้องพาลคิดไปว่าต้องกำจัดตัวปัญหาให้หมดไป
ถามจริงๆ เถอะ หากเด็กเกิดมาแล้วไม่มีผู้ใหญ่ ให้การดูแล เด็กจะมีปัญญาเลี้ยงดูตัวเองจนเติบใหญ่หรือ ส่วนผู้ใหญ่นั้น เมื่อยามแก่ชราแล้วไม่มีคนรุ่นหลังดู คนแก่จะอยู่รอดได้หรือ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่มีใครอยู่ได้เพียงลำพัง เพราะฉะนั้นเด็กก็ต้องเรียนรู้ประสบการณ์จากคนแก่ คนแก่ก็ต้องรับฟังความคิดของเด็ก แล้วปรับตัวเข้าหากันเพื่อความผาสุกของทุกฝ่าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี