พันเอกพิเศษวันชนะ สวัสดี รองโฆษกกระทรวงกลาโหม หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม “ผู้พันเบิร์ด” นายทหารผู้โด่งดังจากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ผู้พันเบิร์ดได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ในมุมที่หลายคนอาจไม่ทันได้คิด หรือไม่เคยทราบ
ผู้พันเบิร์ดเล่าว่า ตนเองไม่เคยใกล้ชิดหรือถวายงานใต้เบื้องพระยุคลบาทในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก่อน แต่ด้วยความที่ตนเองรักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด ได้ค้นคว้าหาข้อมูลพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำเพื่อคนไทยมาโดยตลอดกว่า 70 ปี จึงรับรู้มาโดยตลอดว่าพระองค์ทรงทำงานอย่างหนักเพื่อคนไทยอย่างไรบ้าง
“...เปรียบในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นดั่งสมเด็จพระนเรศวร ที่ทรงงานเพื่อประชาชน จนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จากเรื่องเล่าหลังพระบรมโกศ เมื่อทราบความจริงทั้งหมด ยิ่งทำให้รู้ว่า ที่คิดว่ารู้นั้นรู้น้อยมาก ที่คิดว่ารักนั้นรักน้อยอยู่ ที่คิดว่าภักดีนั้นคงไม่พอ
ผมเห็นโต๊ะที่ต่างไปจากงานพิธีตัวหนึ่ง ตั้งอยู่หลังหีบพระบรมศพก็ได้เรื่องดีๆเป็นกำลังใจ เรื่องนี้ผมได้รู้ว่า พระองค์ทำเพื่อคนไทยมาตลอดแม้ลมหายใจสุดท้ายของพระองค์
หลายคนที่ขึ้นไปถวายบังคมพระบรมศพบน แม้จะได้ขึ้นไปกราบเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่รอต่อแถวเป็นหลายชั่วโมง เป็นวันก็มี ผมและครอบครัวคือหนึ่งในคนที่ได้ไปซึมซับบรรยากาศครั้งนั้น เมื่อเดินก้าวเข้าไปในดุสิตมหาปราสาท ผมได้พยายามเก็บภาพจำและนึกถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นเพื่อเก็บไว้กับตัวเองให้ครบถ้วนที่สุด และเมื่อกราบเรียบร้อย เจ้าพนักงานให้เดินออกไปทางขวา และในระหว่างที่เดินออก ผมได้มองเห็นด้านหลังพระบรมโกศ ที่มีหีบพระบรมศพตั้งอยู่ พื้นที่บริเวณนั้นถูกจัดเป็นระเบียบ มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ เป็นโต๊ะที่แตกต่างจากงานพระราชพิธี เห็นมีของตั้งอยู่บนโต๊ะด้วย
ด้วยความสงสัย เมื่อลงไปใส่รองเท้าเสร็จแล้ว จึงถามกับเจ้าพนักงานและสืบค้นจากพี่ๆ ที่รู้จักในภายหลังได้ความว่า โต๊ะนี้เป็นโต๊ะทรงงานของพระองค์ บนโต๊ะมีแผนที่ แว่นขยาย ดินสอ ใต้โต๊ะมีกระเป๋าหนังสือน้ำตาล 1 ใบ แผนที่บนโต๊ะนั้นเป็นระวางจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่เป็นฉะเชิงเทราเพราะว่าพระองค์กำลังวางแผนทำแก้มลิงเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมบริเวณภาคตะวันออกในปี’55 แต่พระองค์ประชวรเสียก่อน เลยไม่ได้กลับมานั่งโต๊ะทรงงานนี้อีก เหตุเพราะเมื่อปี’54 น้ำท่วมหนักมาก พระองค์กลัวว่าถ้าท่วมอีก เศรษฐกิจจะแย่ ประชาชนจะลำบากหนัก จึงพยายามวางแผนทำแก้มลิงให้ภาคตะวันออก และภาพจำที่คนไทยคุ้นตาคือภาพที่พระองค์ออกมาประทับที่ระเบียงของ โรงพยาบาลศิริราชเพื่อทอดพระเนตรระดับน้ำและการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยา แสดงให้เราเห็นถึงความตั้งพระทัยอันแน่วแน่ในการที่จะแก้ไขปัญหาน้ำให้กับชาวไทยจนกระทั่งวันที่พระองค์เสด็จสวรรคต
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ จึงทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่พระองค์ทรงยกทัพ ขึ้นไปทางเหนือเพื่อที่จะไปปราบอังวะในปี 2148 แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน การสร้างความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินอโยธยาในตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นเฉกเช่นเดียวกับที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำให้กับประชาชนชาวไทย
และหากจะเล่าเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงต้องเล่าผ่านสายน้ำ
ครั้งหนึ่ง เมื่อประเทศเกิดความแห้งแล้งสิ่งที่พระองค์พระราชทานมาให้คือน้ำจากฟากฟ้าผ่านโครงการฝนหลวงเพื่อให้พื้นแผ่นดินมีความชุ่มชื้นหลังจากนั้น
พระองค์ได้พระราชทานแนวคิดในการสร้างเขื่อนและฝายชะลอน้ำเพื่อให้น้ำเหล่านั้นไหลช้าลง น้ำจึงซึมลึกลงไปใต้ดินสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นแผ่นดินทั้งบนดินและใต้ดิน
เมื่อดินมีความอุดมสมบูรณ์ แล้วจึงเกิดเป็นพืชพันธ์ุธัญญาหารและป่าไม้ พระองค์ก็ได้พระราชทานแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ที่อยู่อาศัยเพื่อให้เกิดเป็นความมั่นคงในความเป็นอยู่ของประชาชนและการประกอบอาชีพหลังจากนั้น
เมื่อพวกเราได้สร้างหมู่บ้านตัดถนนขวางทางน้ำทำให้เกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะน้ำไหลเข้าท่วมในเขตเศรษฐกิจพระองค์จึงได้ทำการบริหารจัดการน้ำผ่านโครงการแก้มลิงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเหล่านั้นไหลเข้าท่วมพื้นที่เขตเศรษฐกิจ เราจึงได้ใช้น้ำอย่างมีความสุข หลังจากที่ใช้น้ำกลายเป็นน้ำเสียแล้ว พระองค์ก็ยังตามมาแก้ไขปัญหาน้ำเสียผ่านโครงการกังหันชัยพัฒนาอีกด้วย
เรียกได้ว่า พระองค์นั้นให้น้ำจากฟากฟ้าจนถึงตามมาบำบัดน้ำเสียให้กับพวกเรา
โดยภาพที่แสดงการทรงงานเรื่องน้ำของพระองค์ที่อธิบายภายในภาพเดียว คือ ภาพที่ชื่อ “จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานาที”
ในเรื่องของเขื่อนนี้ จะพูดว่าป้องกันน้ำแล้งแต่เพียงเท่านี้คงจะไม่ใช่ เพราะเรื่องของเขื่อนนี้เป็นเรื่องของการบริหารจัดการน้ำของทั้งประเทศ เพราะนอกจากเขื่อนจะช่วยเก็บกักน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้ง ยังช่วยป้องกันน้ำท่วมและสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ดินอีกด้วย แต่ปัจจุบันที่น้ำยังคงท่วมนี้ก็เป็นเพราะการตัดถนนและการสร้างหมู่บ้านรวมถึงการบุกรุกพื้นที่ป่าเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ประโยชน์ของการบริหารจัดการน้ำคือการใช้น้ำจืดผลักดันน้ำเค็มที่หนุนสูงบริเวณปากแม่น้ำด้วย
นั่นหมายความว่าเป็นการรักษาสภาวะแวดล้อมป่าชายเลน และยังมีส่วนสำคัญกับเรื่องของการผลิตน้ำประปาในบริเวณจังหวัดที่อยู่บริเวณปากแม่น้ำอีกด้วย
ความเป็นนักปราชญ์ของพระองค์อีกประการหนึ่ง คือ พระองค์ยังเป็นผู้ที่นำหลักวิชาการที่ยากหลายหลักวิชามารวมกันและคิดออกมาเป็นการปฏิบัติที่ง่ายเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้โดยกว้างขวาง เช่น การขุดบ่อน้ำให้ลึก 5 เมตรมีที่มาจากการที่พระองค์ได้ทำการทดลองวิจัยและสังเกตว่าน้ำบนผิวดินนั้นจะระเหยวันละ 1 เซนติเมตร ในประเทศไทยจะมีฝนตกโดยเฉลี่ยประมาณ 50 วันและฝนจะไม่ตก 300 วันนั่นหมายความว่าถ้าเราขุดบ่อลึก 3 เมตรน้ำจะมีใช้ไม่เพียงพอตลอดทั้งปีนั่นเป็นที่มาของการที่พระองค์ได้ให้แนวคิดในการขุดบ่อมีความลึก 5 เมตร จึงจะเพียงพอต่อการใช้น้ำตลอดทั้งปี อันนี้กล่าวได้ว่าเป็นความอัจฉริยภาพและเป็นนักปราชญ์ในเรื่องน้ำอย่างแท้จริง
ในวันที่ 13 ตุลาคม 2564 ผมได้มารำลึกถึงพระองค์ที่อนุสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยความรู้สึกในพระมหากรุณาที่คุณของพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้ มีความคล้ายคลึงกันในการส่งงานเพื่อแผ่นดินตลอดพระชนม์ชีพด้วยความกล้าหาญเสียสละอย่างแท้จริง
อีกทั้งภาพจำของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เสด็จฯมาที่ทุ่งมะขามหย่อง บริเวณ อนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย เมื่อ วันที่ 25 พ.ค. 2555 เพื่อมาทอดพระเนตร ทุ่งมะขามหย่องแห่งนี้ ซึ่งผมจำเนื้อความที่พระองค์ได้บอกว่า การที่น้ำท่วมทุ่งมะขามหย่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมชาติและท่วมทุกปีและก็เป็นประโยชน์ในการป้องกันการรุกรานจากฝ่ายข้าศึก ซึ่งถ้าสามารถเก็บน้ำที่ท่วมทุ่งมะขามหย่องนี้นำไปใช้ในหน้าแล้งก็จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก
การเสด็จฯในครั้งนั้นเป็นภาพจำของประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพราะนั่นเป็นช่วงปลายของพระชนม์ชีพ ที่น้อยครั้งนักที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปต่างจังหวัด และการเสด็จฯในครั้งนั้นฉลองพระองค์ในชุดทหารรบพิเศษ เฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ฉลองพระองค์ในชุดรบเพื่อออกไปทำการรบเช่นเดียวกัน...”
ขอบคุณเรื่องเล่า ในมุมที่ตราตรึงหัวใจ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี